เปิดประสบการณ์แรกที่ ฮอกไกโด

ทุกครั้งที่นึกถึงฮอกไกโด (Hokkaido) MRBADBOY ต้องคิดถึงอาหารทะเลสดๆเป็นอันดับต้นๆ เพราะว่า ฮอกไกโดได้ชื่อว่าเป็นจังหวัดที่มีอาหารทะเลอุดมสมบูรณ์อย่างแท้จริง ทั้งปูทาราบะหรือปูยักษ์ฮอกไกโดที่มีเนื้อรสชาติหวาน หอยเม่นสีเหลืองทองรสหวานเบาๆละมุนลิ้น และปลาฮอกเกะย่างหอมๆ แต่คนอื่นอาจจะอยากเห็นหิมะสีขาวตกโปรยปราย ซึ่ง MRBADBOY ยังทำใจไม่ได้เพราะว่ากลัวความหนาว นอกจากอาหารทะเลสดๆแล้ว ก็มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจที่เมืองฮาโกดาเตะ (Hakodate) โอตารุ (Otaru) ฟุราโนะ (Furano) และซัปโปโร (Sapporo)

MRBADBOY ได้สรุปกับเพื่อนๆร่วมทริปอีก 4 คนที่จะออกเดินทางไปชมความงามทางธรรมชาติ วัฒนธรรม ศิลปะดั้งเดิมทางสถาปัตยกรรม และที่ขาดไม่ได้คือชิมอาหารทะเลสดๆ ของเกาะฮอกไกโด เป็นครั้งแรกในชีวิต ระหว่างวันที่ 11-20 สิงหาคม ปี 2562 เป็นเดือนปลายช่วงหน้าร้อน และที่สำคัญที่สุด หน้าร้อนเป็นช่วงที่เหมาะจะชมทุ่งดอกลาเวนเดอร์และดอกไม้สีสันต่างๆเบ่งบานสวยงามที่สุด

หลังจากสรุปเป็นที่เรียบร้อย MRBADBOY ก็ทำหน้าที่เหมือนเดิมเหมือนทุกครั้งที่ไปทริปอื่นๆ คือรับผิดชอบในการจองตั๋วเครื่องบินและที่พัก พอดีในช่วงเดือนกรกฎาคม Air Asia X ได้จัดตั๋วโปรโมชั่นไปฮอกไกโดในราคาถูกแบบที่ไม่ไปไม่ได้แล้ว ราคาขึ้นอยู่กับแต่ละวันของการเดินทางด้วยนะ ในที่สุดเราก็ได้ราคาตั๋วอยู่ที่ 7,575 บาทรวมแผนประกันภัยการเดินทาง (add worry-free travel protection) ระบบจะทำให้โดยอัตโนมัติ สำหรับน้ำหนักกระเป๋าก็คือเที่ยวละ 1,000 บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงแต่ละช่วงการเดินทาง) สำหรับ 20 กิโล และอาหารมีให้เลือกหลายอย่างๆละ 150 บาท โดยผ่าน www.airasia.com

ดังนั้นตั๋วเครื่องบินไปกลับ Air Asia X ของพวกเราก็จะเป็นดังนี้

XJ 620

Bangkok-Don Mueang (DMK)  23:55 Sun 11 Aug 2019

Sapporo-Shin Chitose (CTS) 08:40 Mon 12 Aug 2019

XJ 621

Sapporo-Shin Chitose (CTS) 09:55 Tue 20 Aug 2019

Bangkok-Don Mueang (DMK) 15:10 Tue 20 Aug 2019

หลังจากเสร็จสิ้นการจองตั๋วเครื่องบินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็มีการพูดคุยกันว่าเราจะไปเที่ยวที่ไหนกันบ้างและได้สรุปที่เมืองหลักๆก่อนที่จะไปลงรายละเอียดปลีกย่อยว่าจะไปเที่ยวที่ไหน ทำอะไรบ้าง โดยเราจะเริ่มจากเมืองฮาโกดาเตะ แล้วต่อด้วยเมืองโอตารุเพียงครึ่งชมจากซัปโปโร และเมืองฟุราโนะ ก่อนที่จะปิดทริปของเราที่เมืองซัปโปโร

แล้ว MRBADBOY ก็เริ่มทำการจองที่พักทั้งหมดผ่าน www.agoda.com (เป็นบริษัทที่ให้บริการสำรองห้องพักทางออนไลน์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นหลัก) เหมือนทุกครั้ง แต่บางครั้งอาจจะไปเว็บอื่นๆบ้าง ในกรณีที่มันเต็มและเหลือแต่ราคาสูง ขอบอกก่อนว่า การจองที่พักไม่ยุ่งยากเท่ากับตอนหาที่พักในราคาที่เหมาะสมกับเพื่อนร่วมทริปด้วยและไม่ไกลจากสถานีรถไฟสายหลักเพื่อสะดวกในการเดินทาง ดังนั้นจะใช้เวลานานพอสมควร

ดังนั้นแผนการเดินทางของเราก็สรุปคร่าวๆดังนี้ (ชื่อที่พักและราคาจะบอกไว้ในตอนต่อไปที่เดินทางไปเมืองนั้นๆ)

วันที่ 12-14 สค 2 คืนที่ฮาโกดาเตะ

วันที่ 14-16 สค 2 คืนที่โอตารุ

วันที่ 16-17 สค 1 คืนที่ฟุราโนะ

วันที่ 17-20 สค 3 คืนที่ซัปโปโร

ตั๋วเครื่องบินได้แล้ว ที่พักได้แล้ว ก็เหลือเรื่องของการเดินทางไปยังเมืองต่างๆ MRBADBOY ได้เสนอตั๋วรถไฟฮอกไกโดพาส (JR Hokkaido Rail Pass) แบบ 7 วันอยู่ที่ 24,000 เยนหรือ 6,580 บาทในเวลานั้น ราคาขึ้นอยู่กับทัวร์เอเจนซี่ด้วยแต่ก็ห่างกันไม่มาก แน่นอนมีคำถามจากเพื่อนมาว่าทำใมเราต้องใช้ตั๋วนี้ด้วยละ ยกตัวอย่างเมืองที่ไกลสุดสำหรับทริปนี้คือฮาโกดาเตะ ซึ่งใช้เวลานั่งอยู่บนรถไฟ 3.20 ชั่วโมงและราคาต่อเที่ยวอยู่ที่ 8,000 เยน หรือ 2,326 บาท (29 บาทต่อ 100 เยนในเวลานั้น) และเมืองอื่นๆประมาณ 2 ชม ก็เลยคิดว่าน่าจะประหยัดค่าใช้จ่ายการเดินทางได้ส่วนหนึ่ง

ฮอกไกโด เป็นอีกเกาะหนึ่งในญี่ปุ่นที่คนไทยไปเที่ยวกันมากๆ ดังนั้นไม่ยากในการหาข้อมูลพื้นๆหลักๆจาก เว็บไซต์ท่องเที่ยวต่างๆและจาก YouTube ด้วย จริงแล้วหน้าร้อนของฮอกไกโดคือตั้งแต่เดือนมิถุนายน ถึงสิงหาคม ที่เป็นช่วงพิเศษที่เราจะได้เห็น สัมผัส กับสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อนเท่านั้น

ฮาโกดาเตะ (Hakodate)

เป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุด มีสถานที่ท่องเที่ยวและสถานที่ทางประวัติศาสตร์ เห็นได้จากอาคารต่างๆที่ยังคงหลงเหลือสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปอันงดงาม นอกจากอาหารทะเลสดๆราคาถูก (ถูกกว่าไทย ขอบอก)

โอตารุ (Otaru)

เป็นเมืองท่าเรือขนาดเล็ก มีย่านโกดังสินค้าเก่าซึ่งในปัจจุบันเป็นย่านการค้า มีทั้ง ร้านเครื่องแก้ว งานฝีมือ กล่องดนตรี ของที่ระลึก รวมถึงร้านขนมหวาน ถนนซูชิยะ (Sushiya) และถนนช้อปปิ้งเก่าแก่ใกล้สถานีโอตารุ คือ ถนนช้อปปิ้งมิยาโกะ (Miyako Dori Shotengai) นอกจากนี้ยังมีจุดชมวิวภูเขาเทนกุ (Mt.Tenguyama) อีกด้วย

ฟูราโนะ (Furano)

เป็นเมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวโดดเด่นอย่างทุ่งดอกไม้หลากสี ที่ถือได้ว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดของฮอกไกโด ทั้งยังมีโรงงานผลิตไวน์ และโรงงานชีสขึ้นชื่อของเมืองฟูราโน่ ช่วงฤดูหิมะ ที่นี่เป็นลานสกีด้วย

ซัปโปโร (Sapporo)

เป็นเมืองหลักของเกาะฮอกไกโด มีพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของญี่ปุ่น และมีสถานที่ทางประวัติศาสตร์สมัยแรกเริ่มของเกาะฮอกไกโดอีกด้วย เช่น อดีตที่ทำการรัฐบาลฮอกไกโด, สวนโอโดริและหอนาฬิกาประจำเมือง, โรงเบียร์แห่งแรกในญี่ปุ่น, ย่านตลาดเก่าแก่ทะนุกิโคจิ, ตลาดปลานิโจ, ตรอกราเมงที่โด่งดัง และโรงานซ็อคโกแลต

จากข้อมูลมากมาย ทำให้ MRBADBOY รู้สึกตื่นเต้นกับภาพสถานที่ท่องเที่ยวเก่าแก่แบบคลาสสิคตามสถาปัตยกรรม สถานที่สวยงามตามธรรมชาติ สถานที่ท่องเที่ยวแบบเพื่อสุขภาพด้วย เช่น การปั่นจักรยานและเดินเขาแบบไฮกิ้ง (Hiking) ซึ่งโดยปรกติ MRBADBOY ได้ทำอยู่แล้วที่ไปต่างประเทศ และอีกหลายสถานที่ที่เหมาะสำหรับการถ่ายรูป ผมก็ต้องมาดูว่ามือถือเก็บได้แค่ไหนทั้งภาพนิ่งและวีดีโอ รวมถึงกล้องถ่ายรูปของผมด้วย จึงตัดสินใจซื้อ SanDisk Ultra Dual Drive m3.0 Flash Drive for Android Smartphones 64GB ที่สามารถใช้งานได้ทั้ง SmartPhone, Tablet และ PC และสามารถโอนถ่ายได้รวดเร็ว 150 MB/วินาที นอกจากนี้ผมก็ใส่ micro SD card แบบ 32GB เข้าไปในมือถืออีกตัว จากเดิมมี 32 GB

การเตรียมตัวการเดินทางยังไม่จบ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการใช้ Internet ถึงแม้ว่าประเทศญี่ปุ่นมี WiFi ให้ใช้แต่ก็จะมีเฉพาะบางจุด บางสถานที่และสถานีรถไฟ มันไม่เพียงพอกับความต้องการของเราอย่างแน่นอนที่ชอบโพสรูปลง Facebook หรือ Instagram หรือ วีดีโอลง YouTube รวมถึงใช้ในการเสิร์ชหาขัอมูลบางอย่าง หาร้านอาหารร้านคาเฟ่ หรือบ้านที่พักที่จองไว้ อันนี้สำคัญที่สุดเพราะว่าบางที่พักอาจจะเดินไกลหน่อย และแผนที่อาจจะไม่ชัดเจนเท่าไหร่ ผมเลยลองใช้ SIM GO INTER ของ DTAC สำหรับ 10 วันในราคา 399 บาท สามารถใช้เน็ตโรมมิ่งต่างประเทศได้จุใจสูงสุดถึง 6GB ราคาเท่ากันกับ AIS Sim2Fly แต่ค่ายนี้ใช้ได้เพียง 8 วันเท่านั้น

บอกตรงๆว่า ครั้งแรกไม่กล้าเสี่ยง SIM GO INTER ของ DTAC เพราะว่านานมาแล้วได้เคยสอบถามพนักงานที่ศูนย์ว่า Samsung Galaxy Note 4 สามารถใช้ได้กับซิมไปต่างประเทศแบบ 10 วันหรือเปล่า (คนละตัวกับ SIM GO INTER) และคำตอบที่ได้คือไม่ได้ เนื่องจากระบบมือถือรุ่นนี้ไม่รองรับซะงั้น ตั้งแต่นั้นมาใช้ AIS Sim2Fly มาตลอด จนกระทั่งทริปนี้ว่าจะลองใช้ดูแต่ได้สอบถามพนักงานที่ศูนย์สองที่เพื่อให้แน่ใจ และสรุปก็คือปัจจุบันนี้ DTAC ได้เปลี่ยนเครือข่ายสัญญาณที่ญี่ปุ่นจากเดิมเป็น NTT Docomo มาเป็น Softbank และได้เพิ่มเป็น 6GB อีกด้วย ผลปรากฏว่าสัญญาณดีมาก ไม่มีสะดุด ใช้ได้ดีตลอดทริปนี้

ก่อนหน้านี้ พวกเราก็เคยใช้ Pocket WiFi ราคาต่อวันๆละ 100 กว่าบาทแล้วแต่ทัวร์เอเจนซี่ที่ทำโปรโมชั่นและมันสามารถแชร์กันได้ทุกคนในทริป เรียกว่าคุ้มจริงๆ แต่ตอนหลังมาเปลี่ยนเป็นซิมแทน เพราะว่าง่ายต่อการพกพาหรือช่วงแยกกันเดินทาง และไม่ต้องชาร์จไฟด้วย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *