ชมทุ่งดอกไม้ ชิมซอฟท์ครีมลาเวนเดอร์และเมล่อน ที่ฟูราโน่

ฮอกไกโดหน้าร้อน ทำให้หลายๆ เมืองมีนักท่องเที่ยวน้อยมากจนถึงน้อยที่สุด โดยเฉพาะเมืองฟูราโน่ (Furano) ที่ พวกเราไปชมความงามของทุ่งดอกไม้นานาพันธุ์ที่สวยงามช่วงหน้าร้อนนี้ รวมทั้งดอกลาเวนเดอร์ที่เป็นไฮไลท์ เห็นได้จากร้านค้าและร้านอาหารหลายร้านในเมืองปิด เพราะว่า ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะมาช่วงฤดูหนาว สนุกกับการเล่นหิมะและดูการแกะสลักรูปปั้นน้ำแข็ง

การเดินทางจากโอตารุมาฟูราโน่ เรานั่งรถไฟมาที่ซัปโปโร เพื่อมาต่อรถไฟขบวนพิเศษ Limited Furano Lavender Express ซึ่งเปิดให้บริการเฉพาะในช่วงฤดูร้อนของญี่ปุ่นเท่านั้น จากเดือนมิถุนายนถึงกันยายนของทุกปี รถไฟขบวนที่เรานั่งมีชื่อว่า North Rainbow เพราะว่าแต่ละขบวนมีสีหลากหลาย แต่เราได้รีเสริฟที่นั่งผ่านบัตร Hokkaido Rail Pass

การเดินทางจากซัปโปโรไปถึงฟูราโน่ใช้เวลา 2 ชั่วโมง รถไฟขบวนนี้มีผ้าคลุมเบาะรองหัวเป็นลายดอกไม้ชนิดต่างๆ รวมทั้งดอกลาเวนเดอร์ ดอกทิวลิป และดอกทานตะวัน นั่งรถไฟนานๆ ก็เมื่อย MRBADBOY ก็เลยออกไปเดินยืดเส้นยืดสายและสำรวจโบกี้อื่นๆ ด้วยว่าจะเป็นอย่างไร และถือโอกาสเข้าห้องน้ำด้วย

หลังจากผ่านประตูเปิดปิดอัตโนมัติ MRBADBOY ได้เดินเลียบทางเดินด้านข้างรถไฟและลงไปชั้นล่าง แล้วก็ต้องรู้สึกแปลกประหลาดใจที่พบว่า มีแบบนี้ด้วยหรือ นั่นคือ ที่นั่งด้านหนึ่งเป็นโซฟายาวรูปตัว U เล็กน้อย พร้อมกับโต๊ะขาเดียวเล็กๆ อีกสามตัว ขณะที่อีกฝั่งหนึ่งเป็นราวเหล็กที่หุ้มด้วยหนัง 4 ที่พร้อมทั้งที่รองแก้วและขวดด้วยตรงขอบหน้าต่างบานใหญ่ MRBADBOY เดาว่า น่าจะเป็นที่นั่งสำหรับดูวิวสองข้างทางได้เป็นอย่างดี

ระหว่างที่กำลังนั่งเพลินๆ บนโซฟา ก็มีเด็กผู้ชายญี่ปุ่นโผล่เข้ามาพร้อมกับคุณยาย มานั่งด้วย MRBADBOY ก็เลยได้มีโอกาสสนทนาทั้งอังกฤษและญี่ปุ่นแบบพอเข้าใจได้ว่า คุณยายและคุณตากำลังส่งหลานๆ สามคน รวมทั้งพี่สาวอีกสองคน กลับไปหาพ่อแม่เขาที่ฟูราโน่

เมื่อมาถึงสถานีฟูราโน่ MRBADBOY ได้ขอถ่ายรูปกับคุณตาคุณยายและหลานๆ ก่อนแยกจากกัน ทางขึ้นลงแต่ละชานชาลามีรูปของแต่ละสถานที่ท่องเที่ยว ที่ขาดไม่ได้คือ ทุ่งลาเวนเดอร์ ลืมบอกไปว่า MRBADBOY ได้กรอกแบบสอบถามที่เสียบอยู่บนรถไฟเพื่อนำไปแลกกับของที่ระลึกกับเจ้าหน้าที่ตรงทางออก เป็นโปสการ์ดเกี่ยวกับฟูราโน่หนึ่งชุดมี 4 แผ่น และได้เขียนแล้วติดแสตมป์ส่งกลับมาที่บ้านที่ไทยเลย

เราเดินลากกระเป๋าตามหาที่พักที่จองไว้สักพักหนึ่งคือ Minshuku Mutsukari ราคาต่อคนคืนละ 3,520 เยน เป็นห้องใหญ่ๆ ที่นอนแบบสไตล์ญี่ปุ่น ห้องน้ำรวม เมื่อเราทำธุระเสร็จแล้ว ก็ออกไปหาอาหารกินสักหน่อย เดินกลับไปยังสถานี และเดินไปตามถนนตรงข้ามเพื่อจะมุ่งหน้าไปยัง Furano Marche เป็นคอมมูนิตี้มอลล์ที่มีทั้งร้านขายพืชผลของเกษตรกรท้องถิ่น ร้านกาแฟ ขนม มุมนั่งพัก ร้านขายของที่ระลึก ฯลฯ และใกล้ๆ กันคือ Ralse Mart ซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่

แต่ MRBADBOY เลือกที่จะกินร้านราเม็งที่เล็งเอาไว้ เมนูน่าตาน่ากินทีเดียว ที่อยู่ข้างนอก Furano Marche แล้วเราได้กลับไปยังสถานีเพื่อจะนั่งรถไฟโนร็อคโกะ Norokko Train ที่ให้บริการช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคมของทุกๆ ปีเท่านั้น เพื่อพานักท่องเที่ยวไปชมดอกไม้บานที่ฟาร์มโทมิตะ (Tomita Farm) อันเลื่องชื่อ ชมสวนดอกไม้หลากสี ทุ่งลาเวนเดอร์

รถไฟสไตล์เก่าแก่ โนร็อคโกะ ดูน่ารักเชียว กับหัวรถจักรสีสันฉูดฉาด ขณะที่ตัวโบกี้ออกโทนน้ำตาล ที่น่าสนใจคือ ที่นั่งถูกจัดเป็นสองแบบ คือนั่งแบบปรกติฝั่งหนึ่ง และอีกฝั่งหนึ่งเป็นแบบหันหน้าไปทางหน้าต่างเพื่อชิมวิวข้างทาง บนพื้นจะมีแผ่นเหล็กเป็นรอยเท้าของสัตว์พร้อมกับชื่ออุทยานแห่งชาติคุชิโระชิสึเง็น (Kushiro Shitsugen)

ใช้เวลาเพียงสิบกว่านาที ก็มาถึงสถานี Lavender Farm และเดินต่อไปยังฟาร์มโทมิตะ พร้อมๆ กับนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น จีน และเกาหลี เราทั้งทึ่งและตื่นเต้นกับทุ่งดอกไม้นาๆ ชนิด ที่กว้างใหญ่ตั้งแต่แรกเข้าทางขวามือ เรารีบเดินไปยังจุดที่มีคนถ่ายรูปกันเยอะๆ พร้อมกับป้ายชื่อ Farm Tomita ที่น่าสนใจคือปลุกไม้ดอกพันธุ์ต่างๆ สลับกันเป็น 7 สีอย่างสวยงามมาก

หลังจากถ่ายรูปที่จุดแรกแล้ว เราได้เดินเข้าไปในเรือนกระจกและดูการเพาะเลี้ยงดอกลาเวนเดอร์ในช่วงอายุที่ต่างกัน โดยเฉพาะดอกลาเวนเดอร์ชื่อ Noshi Hayazaki ของที่นี่ รวมถึงไม้ดอกอื่นๆ MRBADBOY ได้เดินชิลๆ ตามเส้นทางเทรล Sakiwai Trai เพื่อจะไปหาของไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดของที่นี่ คือ ซอฟท์ครีมลาเวนเดอร์ ซึ่งเพื่อนคนหนึ่งไม่ชอบกลิ่นแรงๆ ของลาเวนเดอร์ แต่จริงๆ แล้ว ไม่เลย

ได้เวลาเดินต่อ MRBADBOY ได้เดินไปทาง Perfume Workshop แต่ปิด ระหว่างทางเดินกลับเห็นผลแดงๆ ชื่อว่า Nagasaki Crab Apple เข้าเว็บดู มันคือแอปเปิ้ลสายพันธุ์ป่าสายพันธุ์หนึ่ง

เดินผ่านมาเจอ Dry Flower House ที่ข้างในประดับตกแต่งไปด้วยดอกไม้แห้งเต็มไปหมด

ก่อนกลับ เราได้แวะ Melon House เพื่อจะชิมเมล่อนหวานๆ ทั้งสีเขียวและสีส้ม มีทั้งขายชิ้นเดียวและแพ็คคู่ ไหนๆ ก็มาถึงถิ่นแล้ว จัดไปเลยหนึ่งแพ็ค 500 เยน แต่เสียดายไม่ได้ลองขนมปังเมล่อน

เมื่อเรากลับมาที่ตัวเมืองฟูราโน่ เราก็เดินไปศาลเจ้าฟูราโน่ (Furano Shrine หรือ Shinto Shrine) ประมาณ 15 นาทีจากสถานีฟูราโน่ ศาลเจ้านั้นได้ถูกสร้างขึ้นในปี 1902 ค่อนข้างเงียบสงบ เมื่อเดินผ่านแท่งเสาปูนไปยังตัวอาคารของศาลเจ้าและเจอ komainu หรือ lion dog ที่เฝ้าก่อนถึงตัวอาคาร ด้านข้าง MRBADBOY ได้เดินไปยังสองทางแยกที่มีแท่งเสาสีแดง Torii ที่มี หนึ่งแท่งและสามแท่ง ไปยังศาลเจ้าต่างๆ

เย็นมากแล้วและก็หิว ร้านอาหารก็ปิดไปบ้าง เจอร้านแกงกระหรี่ที่ดูดีร้านหนึ่งชื่อ Furanoya เปิดอยู่ หลังจากหาข้อมูล ได้พบว่า ร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องน้ำซุป และสามารถเลือกความเผ็ดของน้ำแกงได้ด้วย MRBADBOY สั่งแกงกระหรี่ผักต่างๆ รสชาติเข้มข้นดีจัง หลังจากนั้นแวะ Furano Marche ก่อนเข้าที่พัก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *