สัมผัสกับวิวสวยงามของเมืองซัปโปโรแบบพาโนราม่าที่ จุดชมวิวฮิสึจิงาโอกะ

มาเที่ยวเมืองซัปโปโร (Sapporo) ช่วงในเดือนสิงหาคม ตรงกับช่วงฤดูร้อน ร้อนจริงๆ นอกจากเที่ยวในเมืองสักพัก MRBADBOY อยากจะหาที่อื่นๆ มีอากาศธรรมชาติสักหน่อย เลยมาดูแผนที่และแหล่งท่องเที่ยว หน้าทางเข้าตึกที่ทำการรัฐบาลเก่าฮอกไกโด (Former Hokkaido Government Office) แถวย่านสวนสาธารณะโอโดริ (Odori Park) และพบว่า จุดชมวิวฮิสึจิงาโอกะ (Hitsujigaoka Observation Hill) น่าสนใจดี และไม่ไกลนัก

ไม่รอช้า MRBADBOY รีบเดินไปขึ้นรถไฟใต้ดินสาย Toho Subway Line ที่สถานี Odori เพียง 6 สถานีก็มาถึง Fukuzumi เมื่อออกจากตัวรถไฟแล้วก็เดินมาที่ชานชาลารถบัส Hokkaido Chuo สาย 84 ได้เลย เพื่อจะไปลงที่ป้าย Hitsujigaoka Tenbodai สุดสายพอดี การเดินทางครั้งนี้ ค่อนข้างง่ายและสะดวก เพียงซื้อตั๋วครั้งเดียวสำหรับรถไฟและรถบัสในราคา 380 เยนที่เครื่องอัตโนมัติได้เลย และไม่ต้องออกจากสถานีรถไฟด้วย

ใช้เวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้น ก็มาถึงปลายทางของเราคือ จุดชมวิวฮิสึจิงาโอกะ ที่เรามองออกไปผ่านหน้าต่างรถบัส เห็นแถวยาวของนักท่องเที่ยวชาวจีนกำลังรอถ่ายรูปกับรูปปั้นของศาสตราจารย์ วิลเลียม เอส คลาร์ก (Prof William S. Clark) ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยฮอกไกโด กับวาทะของเขาที่แกะไว้บนฐานว่า “Boys Be Ambitious” ซึ่งแปลได้หลายอย่างเช่น “เด็กๆ ต้องคิดให้ใหญ่ไม่คิดเล็ก”, “เด็กๆ ต้องมีความมุ่งมั่นที่ยิ่งใหญ่” หรือ “เด็กๆ จงทะเยอทะยาน”

อากาศที่นี่ค่อนข้างดีเพราะตั้งอยู่บนที่สูง ก่อนที่จะเดินไปดูสถานที่ต่างๆ ต้องเสียค่าเข้าชมด้วยนะ 500 เยนสำหรับผู้ใหญ่และ300 เยนสำหรับเด็ก

ตอนแรกว่าจะต่อแถวถ่ายรูปด้วยแต่ไม่มีเวลามากนัก เลยรอจังหวะถ่ายรูปปั้นของท่านศาสตราจารย์ผู้นั้นกับวิวด้านหลังที่เป็นทุ่งหญ้าและเป็นเมืองซัปโปโรและซัปโปโรโดม (Sapporo Dome) แบบพาโนราม่า ไม่ไกลนักทางด้านชวามือของรูปปั้นเป็นฟาร์มแกะ ซึ่ง MRBADBOY ได้ลองเสิร์ชข้อมูลจากอากู๋แล้วพบว่า ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ที่นี่เคยเป็นศูนย์ทดลองทางเกษตรกรรมฮอกไกโด (Hokkaido National Agricultural Experiment Station) และศูนย์ขยายพันธุ์แกะทสึคิซามุ (Tsukisamu Sheep Breeding Station)

ส่วนด้านซ้ายของรูปปั้นนั้น มี 2 รูปปั้นครึ่งตัวของนักแต่งเพลงชื่อดัง คุระโนะสุเกะ ฮามากูชิ (Kuraosuke Hamaguchi) และนักร้องยูจิโร่ อิชิฮาระ (Yujiro Ishihara) ผู้ซึ่งได้ถูกขนามนามว่า เอลวิสของประเทศญี่ปุ่น และเป็นนักแสดงด้วย พร้อมกับโน๊ตและเนื้อเพลง “Koi-no-Machi Sapporo” หรือแปลเป็นไทยว่า “ซัปโปโร เมืองแห่งความรัก” ที่เคยโด่งดังในปี 1972

ถัดไปเป็นกำแพงที่ก่ออิฐขึ้มาสูงประมาณระดับเอว ทำขึ้นมาเพื่อเป็นอนุสรณ์ของกำเนิดทีมเบสบอล Sapporo Nippon-Ham Fighters มีลายพิมพ์มือของผู้เล่นทั้ง 28 คน รวมทั้งผู้จัดการทีมและโค้ช ในปี 2004

หลังจากนั้น MRBADBOY เดินกลับมาทางฟาร์แกะ และได้เห็นบ้านเล็กๆ หลังหนึ่งชื่อ ฮิซึจิกาโอกะฮอตโตะอาชิยุ (Hitsujigaoka Hot Ashiyu) เป็นที่ๆ สำหรับสปาเท้า ดีเลย ถือโอกาสไปนั่งพักและออนเซ็นเท้าสักหน่อย

ใกล้ๆ กันเป็นโบส์ถของท่านศาสตราจารย์คลาร์ก Clark Chapel ที่เคยใช้จัดพิธีงานแต่งงาน แบบว่าบรรยากาศโรแมนติกสุดๆ ติดกันเป็นอาคารไม้ลักษณะคล้ายๆ กัน ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์เทศกาลหิมะซัปโปโร (Sapporo Snow Festival Museum) ซึ่งได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม เปิดประตูเข้าไปจะเจอตัวสโนว์มาสคอตมากมายในตู้กระจก และภาพแกะสลักน้ำแข็ง

ขึ้นไปชั้นสอง MRBADBOY ได้ตื่นเต้นกับแบบจำลองของรูปปั้นหิมะ pavilion ของประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทย พร้อมกับภาพเก่าๆ ขาวดำและสี บนกำแพงหลังแบบจำลองเหล่านั้น นอกจาก pavilion แล้ว แบบจำลองของการ์ตูนญี่ปุ่น เช่น หนูน้อยจอมซ่า มารุโกะจัง (Chibi Maruko-chan) และ วันพีช (One Piece)

นอกจากนี้ ยังมีโปสเตอร์ที่ออกแบบสวยๆ ของ Sapporo Snow Festival ในปีต่างๆ ที่ติดอยู่บนกำแพงโดยรอบฮอลล์

ยังมีของที่ระลึกที่ทำออกมาสำหรับเทศกาลหิมะนี้ด้วย เช่น เข็มกลัดสัญลักษณ์ เข็มหนีบเนคไท เหรียญรางวัล แสตมป์ การ์ดโทรศัพท์สัญลักษณ์ พวงกุญแจ และแผ่นพับ

ถัดไปอีกคือ Rest House เป็นภัตตาคารสไตล์เจงกิสข่าน เช่นเนื้อแกะย่างบาร์บีคิว และอาหารตามสั่งอื่นๆ

ใกล้ๆ กันคือ Austrian House เป็นร้านขายของที่ระลึก และสินค้าพื้นเมืองฮอกไกโด แต่เดิมเป็นศาลาของประเทศออสเตรียระหว่างงานกีฬาโอลิมปิคฤดูหนาวเมื่อปี 1972

อาคารสุดท้ายคือ Sapporo Blanc Birch Chapel ที่ให้บริการจัดพิธีแต่งงาน โดยรอบตกแต่งไปด้วยดอกเบิชสีขาวและดอกลาเวนเดอร์ พร้อมกับแกะขาว ทำให้นึกถึงฉากแต่งงานที่โรแมนติคในภาพยนตร์

ก่อนจะออกจากสถานที่นี้ มี Clark’s Departure Bell ที่ไว้เรียกใช้บริการรถยนตร์ กลับเข้าเมือง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *