เต็มอิ่มกับวิวพาโนราม่าที่ ซัปโปโรทีวีทาวเวอร์ และ จุดชมวิวฮิสึจิงาโอกะ

วันที่สอง ณ เมืองซัปโปโร (Sapporo) MRBADBOY แพลนไว้ก่อนมา ว่าจะต้องจัดบุฟเฟ่ต์อาหารทะเลย่าง ร้านนันดา (Nanda) ให้ได้สักหนึ่งมื้อ เพราะว่าชอบกินปู และที่นี่มีปูให้เลือกมากมายทั้ง ปูทาราบะ (king crab) ปูสึไว (snow crab) ปูวาตาริ (watari crab) ปูฮะนะสะกิ (flower crab) และปูขน (hariy crab) ซึ่งเป็นไฮไลท์ของที่นี่ด้วย

ไม่ไกลจากอพาร์ทเม้นท์ที่เราพัก ร้านนันดา อยู่ชั้นใต้ดิน B2 ของตึก Cyber City ในย่านซูซุกิโนะ (Susukino) ย่านบันเทิงที่ใหญ่ที่สุดในฮอกไกโดซึ่งเต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหาร สว่างไสวของแสงนีออนยามค่ำคืน ที่ร้านบุฟเฟ่นี้ มีให้เราเลือก 2 ช่วงเวลา คือกลางวัน จาก 11.00-16.00น ครั้งละ 70 นาทีรวมซอล์ฟดริ้งราคา 3,700 เยน ถ้าดื่มแอลกอฮอลล์ราคา 4,700 ขณะที่ตอนเย็น จาก 16.00-22.00น ครั้งละ 100 นาทีรวมซอล์ฟดริ้งราคา 4,780 เยน ถ้าดื่มแอลกฮอลล์ราคา 5,980 เยน เราเลือกกินตอนกลางวัน เป็นลูกค้าคนแรกเลย ไม่ได้จองคิวล่วงหน้าด้วย

ที่นี่มีภาษาไทยตั้งแต่หน้าร้านจนกระทั่งเมนูและป้ายต่างๆ อีกด้วย เมื่อพนักงานมาส่งเราถึงโต๊ะ เขาจะนำนาฬิกาจับเวลามาติดเอาไว้ที่เครื่องดูดควัน

ไม่รอช้า MRBADBOY ก็จัดปูเลยสิครับ รอไร ตามด้วยหอยนางรมสดๆ และหอยเชลล์ ต่อด้วยเนื้อวากิว (wagyu) และสเต็กเนื้อสันนอกที่ปรุงแบบสไตล์เกาะคิวชู (Kyushu) จบด้วยผลไม้เมล่อนหวานๆ และไอศกรีมที่ให้เราทำเอง โดยการนำไอศกรีมในถ้วยพลาสติกไปวางไว้บนเครื่องอัด แล้วเอาโคนรองรับได้เลย

หลังจากนั้น เราก็เดินย่อยกันประมาณ 10 นาทีก็มาถึงซัปโปโรทีวีทาวเวอร์ (Sapporo TV Tower) อยู่ในสวนสาธารณะโอโดริ (Odori Park) กลางเมืองซัปโปโร ซึ่งจัดงานอีเว้นท์ต่างๆ เช่น เบียร์การ์เด้น

แต่ละของเราจ่าย 720 เยน สำหรับค่าเข้าชมผ่านเครื่องขายอัตโนมัติ ใกล้บริเวณทางเข้า เมื่อเข้าไปแล้วก็จะมีคนถ่ายรูปให้กับ backdrop ที่เป็นวิวมองจากยอดตึก ถ้าไม่ต้องการก็เดินไปขึ้นลิฟต์เพื่อขึ้นไปชั้นจุดชมวิว ที่เราสามารถมองเห็นสวนสาธารณะโอโดริทอดยาว ซัปโปโรโดม (Sapporo Dome) ตลาดปลานิโจ (Nijo Fish Market) สนามแข่งขันสกีจั๊มโอคุระยามะ (Okurayama Ski Jump Stadium) และอ่าวอิชิคาริ (Ishikari) รวมทั้งภูเขาต่างๆที่อยู่ไกลๆ โน่น นอกจากนี้ ยังมีจุดที่ทำให้เราเสียวๆ หน่อย เป็นหน้าต่าง 3 บานที่เอียงไปด้านนอก

เดินไม่ถึง 5 นาทีก็มาถึงหอนาฬิกาซัปโปโร (Sapporo Clock Tower) เป็นอาคารไม้เก่าเเก่ที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของอดีตวิทยาลัยเกษตรซัปโปโร (Sapporo Agricultural College) สร้างขึ้นในปี 1878 ขณะที่ตัวนาฬิกาได้ทำการติดตั้งในปี 1881 อาคารที่มีความสวยงามและมีเสน่ห์นั้นได้รับอิทธิพลมาจากการออกแบบของอเมริกัน วันที่เราไปถึง มีเจ้าหน้าที่ชาวญี่ปุ่นที่พูดภาษาอังกฤษได้ บอกให้เราขึ้นไปยืนบนสแตนและช่วยถ่ายรูปให้เราและนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ด้วย

เนื่องจากอากาศร้อนมาก เราได้เข้าไปพักเหนื่อยและหาของหวานกินกันก่อนที่ ร้านแพนเค้กมารุยาม่า (Maruyama Pancake) เดินไม่ไกลเท่าไหร่จากหอนาฬิกาซัปโปโร MRBADBOY เลือกแบบเซ็ทที่มีแพนเค้ก 2 ชิ้นพร้อมกับผลเมล่อนอีกหนึ่งถ้วย ราคาจำไม่ได้แน่นอนแต่เคยคิดเป็นไทยในตอนนั้นประมาณ 600 กว่าบาท ก็น่าจะ 2,000 กว่าเยน แพนเค้กทั้งนุ่มทั้งฟูเด้งไปมา อร่อยด้วย ที่นี่มีกฎว่าคนที่เข้ามาในร้านต้องสั่งคนละอย่างน้อยหนึ่งอย่าง สั่งจานเดียวกินด้วยกันสองคนไม่ได้

ตึกที่ทำการรัฐบาลเก่าฮอกไกโด (Former Hokkaido Government Office) เป็นอาคารสีแดงอิฐหลังใหญ่สร้างเมื่อปี 1888 โดยใช้อิฐมากกว่า 2.5 ล้านก้อน เป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกที่ตั้งอยู่ติดกับสถานีซัปโปโร ปัจจุบันนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมห้องต่างๆ เช่น ห้องทำงานของผู้ว่าการเกาะฮอกไกโดสมัยก่อน และหอสมุดที่เก็บบันทึกต่าง ๆ ของเมือง

เหลือบไปเห็นสัญลักษณ์ดาวแดง 5 แฉกตรงหน้าจั่วของอาคาร โดยคณะผู้บุกเบิกฮอกไกโด (Kaitakushi หรือ Hokkaido Development Commission)  และดาวนั้นก็ถูกใช้บนฉลากเบียร์ Sapporo ด้วย ต่อมาดาวได้ถูกพัฒนาเป็น 7 แฉกและใช้บนธงกับ 3 สี สีแดงคือพลังของประชาชน สีขาวคือแสงสว่างหรือหิมะ และสีฟ้าคือท้องฟ้าหรือทะเล ตรงพื้นทางเดินไปสู่อาคารนี้มีแกะสลักเป็นสัญลักษณ์และชื่อต่างๆ ไว้ด้วย

จริงๆ แล้ว ในบริเวณใกล้ๆ นั้น มีสถานที่เก่าแก่อี่นๆ อีกมากมายให้ชม แต่ MRBADBOY และเพื่อนอีกคน ได้เลือกที่จะไปจุดชมวิวฮิสึจิงาโอกะ (Hitsujigaoka Observation Hill) เราได้นั่งรถไฟใต้ดินสาย Toho Subway Line จากสถานี Odori ไปยังสถานี Fukuzumi เเล้วเดินออกจากรถไฟก็จะเจอชานชาลารถบัส Hokkaido Chuo สาย 84 ไปลงสุดสายที่ Hitsujigaoka Tenbodai ที่น่าสนใจก็คือว่า เราสามารถจ่ายเงินจบในครั้งเดียวได้ ทั้งรถไฟใต้ดินและรถบัส ในราคา 380 เยน สะดวกจริงๆ

ลงจากรถบัสมา ก็เจอแถวยาวของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่กำลังรอถ่ายรูปกับรูปปั้นของศาสตราจารย์ วิลเลียม เอส คลาร์ก (Prof William S. Clark) ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยฮอกไกโด กับวาทะของเขาที่แกะไว้บนฐานว่า “Boys Be Ambitious” ซึ่งแปลได้หลายอย่างเช่น “เด็กๆ ต้องคิดให้ใหญ่ไม่คิดเล็ก”, “เด็กๆ ต้องมีความมุ่งมั่นที่ยิ่งใหญ่” หรือ “เด็กๆ จงทะเยอทะยาน”

ด้านซ้ายของรูปปั้นนั้น เป็นอนุสรณ์ของกำเนิดทีมเบสบอล Sapporo Nippon-Ham Fighter มีลายพิมพ์มือของผู้เล่นทั้ง 28 คน รวมทั้งผู้จัดการทีมและโค้ช เพื่อระลึกถึงการย้ายทีมมาที่ซัปโปโรปี 2004 ขณะที่ด้านซ้ายใกล้ๆ เป็นคอกฝูงแกะ ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ฮิซึจิกาโอกะเดิมทีเป็นศูนย์ทดลองทางเกษตรกรรมฮอกไกโด (Hokkaido National Agricultural Experiment Station) และศูนย์ขยายพันธุ์แกะทสึคิซามุ (Tsukisamu Sheep Breeding Station) ด้านหลังของรูปปั้นนั้น จะมองเห็นทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ก่อนที่จะเป็นวิวแบบพาโนราม่าของเมืองซัปโปโรและซัปโปโรโดม ในช่วงฤดูหนาว ทุ่งหญ้านี้จะกลายเป็นหิมะและเป็นที่เล่นสกี

ติดกันกับคอกแกะ MRBADBOY ได้เข้าไปแช่เท้าในน้ำร้อนสักพักที่ ฮิซึจิกาโอกะฮอตโตะอาชิยุ (Hitsujigaoka Hot Ashiyu) ก่อนที่จะเข้าไปที่อาคารสำหรับ พิพิธภัณฑ์เทศกาลหิมะซัปโปโร (Sapporo Snow Festival Museum) ที่แสดงโปสเตอร์ มาสคอต เข็มกลัด เหรียญที่ระลึก และอื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้งแบบจำลองของรูปปั้นหิมะจากประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทยด้วย ที่นี่มีร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกด้วย

ได้เวลาอันควรแล้ว MRBADBOY ได้นั่งรถบัสสาย 84ที่วนมารับส่งนักท่องเที่ยว กลับไปที่สถานี Fukuzumi แต่ยังไม่ต่อรถไฟกลับเข้าเมืองนะ เพราะว่าจะไปเดินเที่ยวซัปโปโรโดม (Sapporo Dome) โดยเดินมาทางออกที่ 4 ระหว่างทางเดิน MRBADBOY ขอถ่ายรูปกับโปสเตอร์ขนาดใหญ่ของ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ทีมชาติไทยที่ไปค้าแข้งให้กับทีมฮอกไกโด คอนซาโดเล่ ซัปโปโร (Hokkaido Consadole Sapporo) หลังจากออกจากสถานี ก็เดินไปอีกไม่ไกล จะสังเกตุได้จากมีคนเดินไปมา เนื่องจากมีการแข่งขันช่วงนั้นพอดี ซัปโปโรโดมเป็นสนามกีฬาที่มีความทันสมัยมากที่สุดในญี่ปุ่นและมีหลังคาเปิดปิดได้ด้วย เป็นรังเหย้าของทีมเบสบอลชื่อดังอย่าง ฮอกไกโด นิปปอนเเฮม ไฟต์เตอร์ (Hokkaido Nippon-Ham Fighters) เเละทีมฟุตบอล J League ชื่อดังอย่าง คอนซาโดล ซัปโปโร (Consadole Sapporo)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *