ครั้งหนึ่งในชีวิต กับภารกิจ พิชิตยอดเขาฟูจิ

“ครั้งหนึ่งในชีวิต กับภารกิจ พิชิตยอดเขาฟูจิ” ได้เกิดขึ้นเกือบสามปีมาแล้วของ MRBADBOY ที่ใฝ่ฝันอยากจะลองปีนภูเขาไฟจิสักครั้งหนึ่งในชีวิต และอยากจะท้าทายความสามารถของคนในวัยเกินครึ่งเซ็นจูรี่ของเราเองด้วย

MRBADBOY ใช้เวลาทำใจสักพัก พร้อมกับอ่านเรื่องราวจากประสบการณ์ของนักปีนเขา ทั้งคนญี่ปุ่นและคนต่างชาติ และเก็บข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆ ตั้งแต่ พื้นที่ของภูเขา เส้นทางการปีนเขา ภูมิอากาศบนเขา และการเตรียมความพร้อมก่อนปีนเขา รวมถึงอุปกรณ์ปีนเขา เช่น ไม้เท้าเดินป่า ไฟฉายคาดหัว เสื้อผ้ากันหนาวกันลม รองเท้าเทรล แว่นกันแดด และ ที่พักบนเขา

เมื่อความต้องการบวกกับเสียงเรียกร้องจากหัวใจได้แรงมากขึ้นและรวมกันเป็นหนึ่งแล้ว MRBADBOY จึงได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า เราจะไปพิชิตภูเขาไฟฟูจิ ในเดือนกรกฎาคม ปี 2560 และชักชวนเพื่อนอีก 4 คนที่พร้อมจะไปร่วมทำมิชชั่นนี้ด้วยกัน

ภูเขาไฟฟูจิ (Mount Fuji) หรือที่เรียกกับแบบน่ารักๆ สไตล์ญี่ปุ่น ฟูจิซัง (Fujisan) เป็นสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นและได้รับเลือกจากองค์กรยูเนสโก (UNESCO) ให้เป็น สถานที่ท่องเที่ยวมรดกโลกด้านวัฒนธรรม ในปี 2556 (World Cultural Heritage Site in 2013)

อรรถรสแห่งความงามและมนต์เสน่ห์ของภูเขาไฟฟูจิ สามารถดึงดูดทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเที่ยวและปีนเขาทุกๆ ปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน เพียง 2 เดือนเท่านั้น คือ กรกฎาคมและสิงหาคม ฟูจิซัง เป็นภูเขาที่สูงที่สุดของประเทศญี่ปุ่น มีความสูง 3,776 เมตร เหนือจากระดับน้ำทะเล

การเริ่มต้นของมิชชั่นนี้ คือเช้าตรู่ของวันที่ 8 กรกฎาคม 2560 หลังจากที่เราได้บินถึงประเทศญี่ปุ่นเมื่อวานนี้และได้พักที่อุเอโนะ (Ueno) หนึ่งคืน เราได้เลือกเดินทางไปคาวากูจิโกะ (Kawaguchiko) โดยรถไฟจากสถานีชินจูกุ (Shinjuku) เพราะว่าเรามีตั๋วรถไฟ Japan Rail Pass สำหรับ 7 วันที่เราซื้อที่เมืองไทยและนำ voucher มาแลกเป็นตั๋วที่สนามบินนาริตะ (Narita International Airport)

จากสถานีชินจูกุ เราเดินทางโดยรถไฟสาย Azusa ไปยังสถานีโอซึกิ (Otsuki) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้น เราเปลี่ยนไปนั่งรถไฟสาย Fujikyu Railway ไปลงที่สถานีคาวากูจิโกะ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ค่าโดยสารคือ 1,140 เยน ไม่สามารถใช้ JR Pass ได้

เราตื่นเต้นกับรถไฟสาย Fujikyu Railway ซึ่งได้เพ้นท์ลวดลายของภูเขาฟูจิทั้งขบวน ดูน่ารัก ทำให้เราต้องรีบกดชัตเตอร์ก่อนที่รถไฟจะเคลื่อนตัวออกจากชานชาลา แต่เมื่อรถไฟมาถึงสถานี Fujikyu Highland อีกสถานีเดียวก็จะถึงที่หมายของเราแล้ว ปรากฎว่ารถไฟหันหัวกลับ ทำให้นักท่องเที่ยวบางคนถึงกับทำหน้างงๆ

จากสถานีคาวากูชิโกะ เราเดินลากกระเป๋าของเราไปยังที่พัก K’s House Mt. Fuji ที่ MRBADBOY ได้จองผ่าน www.agoda.com ในบางเว็บบอกว่าเป็นที่พักสุดฮิตของนักท่องเที่ยวชาวไทย ที่นี่เป็นแบบ backpackers hostel แต่ดูดีทีเดียว สะอาด มีห้องครัว ห้องรับประทานอาหาร ห้องนั่งเล่น มีกาแฟให้ตอนเช้า และมีไวไฟฟรีอีกด้วย MRBADBOY ได้จองแบบห้องรวมชายหญิงสำหรับ 6 คนห้องน้ำรวม ตอนแรกจะจองที่พักคล้ายๆ กันตรงข้ามสถานีแต่ไม่ทัน

ช่วงบ่ายแก่ๆ ของวันนั้น เราได้ออกไปเดินเที่ยวแถวๆ ทะเลสาบคาวากูชิโกะ และมองเห็นความสวยงามของภูเขาฟูจิสีฟ้าๆ แบบพาสเทลไกลๆ ประหนึ่งว่ากำลังรอคอยให้เราไปพิชิตมันโดยเร็ว

เส้นทางปีนภูเขาไฟฟูจิ คือ โยะชิดะเทรล (Yoshida Trail) ซึ่งได้รับความนิยมมากที่สุดจากนักปีนเขา เดินทางไปมาสะดวก และมีที่พักเปิดให้บริการมากมาย ที่สำคัญมากที่สุดคือ ดีสำหรับมือใหม่อย่างพวกเราด้วย อีกสามเส้นทางอื่นๆ คือ เส้นทางฟูจิโนะมิยะ (Fujinomiya), เส้นทางโกเท็นบะ (Gotemba) และเส้นทาจิบะชิริ (Chibashiri)

การทำภารกิจของเรากำลังจะเริ่มขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้นของวันที่ 9 กรกฎาคม 2560 เมื่อเราเดินออกจากที่พักและไปขึ้นรถ Retro Bus ที่หน้าสถานีคาวะกูจิโกะ เพื่อจะไปส่งที่จุดเริ่มต้นของการปีนเขาที่ สถานี Mt. Fuji  5th ค่าโดยสารต่อเที่ยวคือ 1,500 เยน จะซื้อต่อเที่ยวหรือไปกลับก็ได้

ประมาณหนึ่งชั่วโมง เราก็มาถึงชั้นห้า ในขณะที่เส้นทางปีนเขามีทั้งหมด 10 ชั้น เราได้สัมผัสกับอากาศเย็นสบายและสายหมอก ที่นี่ดูคึกคักดีด้วยทั้งคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่นี่มีความสูง 2,305 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล

ชั้นห้านี้ มีที่พักด้วย คือ Gogoen Rest House กับจุดชมวิวบน rooftop, Miharashikan และ Fujikyu Unjokaku ซึ่งทั้งหมดจะมีโซนอาหารและโซนขายของที่ระลึกด้วย โดยเฉพาะทางเข้าของ Gogoen Rest House มีขายข้าวโพดหวานนึ่งราคา 500 เยนและ soft cream หลายรสชาติราคา 350-400 เยน

มีศาลเจ้าโคมิตาเคะ (Komitake Jinja) กับซุ้มประตูเสาโทริอิสีแดง (Torii) ที่อยู่ระหว่างที่พัก Miharashikan และร้านช้อปปิ้ง Komitake Baiten

ศาลเจ้านี้ เป็นที่สักการะบูชาและอธิฐานขอพร โดยมีความเชื่อว่า ท่านเทนกุ หรือปีศาจจมูกแดง ได้ปกครองพื้นที่บริเวณโดยรอบของฟูจิซังชั้น 5 นี้ ถูกเรียกว่า “Tengu no Niwa” (“สวนของท่านเทนกุ”)

นั่นคือว่า ทำไมภูเขาไฟฟูจิจึงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่คนเคารพบูชาและนิยมมาซื้อเครื่องรางกลับไปเป็นของที่ระลึก รวมถึงไม้เท้า หรือไม้ค้ำ แบบสั้นและยาว ในราคา 1,100-1,200 เยน และมีกิมมิคด้วย คือการตอกลวดลายหรือข้อความที่เขามีให้เลือกมากมาย ในราคา 200 เยน และยังมีให้ประทับตราอื่นๆ ตลอดระยะทางบนเขาด้วยนะ ในราคาต่างกัน เนื่องจากบนที่สูง

เราหาอะไรรองท้องก่อน พร้อมทั้งปรับระดับอุณหภูมิร่างกายหนึ่งชั่วโมงก่อนปีนเขา

ที่นี่ มีบริการนั่งม้าด้วย คือ 4,000 เยนสำหรับเที่ยวเดียวที่อิซุมิงะตะเกะ (Izumigataki) หรือ 10,000 เยนสำหรับเที่ยวเดียวที่สถานีชั้น 6 และ 15,000 เยนลงมาที่ชิชิอิวะ (Shishiiwa)

เวลา 10 โมงเช้า เราเริ่มภารกิจของเราด้วยการเดินเทรลทางดินตามเส้นทางป้ายสีเหลือง Yoshida Trail ขณะที่ MRBADBOY ได้สะพายกระเป๋ากันน้ำขนาดไม่ใหญ่ เพราะว่าเอาไว้ใส่ขวดน้ำดื่ม หมวกไหมพรม ไม้เท้าค้ำพับได้ แปรงและยาสีฟัน เสื้อผ้าไม่ต้องเพราะว่าที่พัก Taishikan บนชั้น 8 ไม่มีที่ให้อาบน้ำ ราคาต่อคืนต่อคนคือ 8,500 เยน แพงทีเดียว

เส้นทางเทรลดินมีเนินชันให้พอเหนื่อยเล็กน้อย เป็นการวอร์มร่างกายไปในตัว พร้อมกับความเขียวสดชื่นของต้นไม้สองข้างทาง ขณะที่สวนทางกับนักปีนเขาคนอื่นๆ ที่กำลังลงมา

หลุดออกมาจากความร่มรื่นของป่าไม้ เราก็เดินเลียบข้างภูเขาแบบโล่งเตียน และก็มาถึงสถานีที่ 6 มีศูนย์ให้คำแนะนำด้านความปลอดภัย จุดนี้ก็เริ่มมีหมอกปกคลุมอบอวลไปทั่ว

เราเดินบนเส้นทางที่เป็นกรวดและก้อนหินสูงชันมากขึ้น ก็มาถึงสถานีที่ 7 ระดับความสูง 2,700 เมตร ที่พักเริ่มจากชั้นนี้ และมีจุดพักสำหรับนักปีนเขา มีห้องน้ำให้บริการในราคา 200 เยน แต่ละจุดมีที่แสตมป์ไม้เท้าค้ำด้วย ในลวดลายแตกต่างกันไป ที่ชั้น 7 ในราคา 300 เยน MRBADBOY ได้มองลงไปข้างล่าง เห็นเส้นทางเดินที่ซิกแซกไปมาดูสวยงามดี พร้อมกับหมอกที่กระจายเป็นแบล็คกราว

จากชั้น 7 ไป เริ่มชันมากขึ้นเป็นและบางจุดต้องใช้มือและไม้เท้าในการช่วยพยุงในการปีนไต่หิน ระหว่างทางเดินและปีนเขา จะมีสายโซ่ที่กั้นเป็นทางไว้ เพื่อไม่ให้นักปีนเขาออกนอกเส้นทาง ซึ่งอาจจะเกิดอันตรายจากหินสไลด์ลงมา

ในที่สุด เราก็มาถึงสถานีที่ 8 ในระดับความสูง 3,360 เมตร เวลาบ่างสองโมง จุดนี้มีนักท่องเที่ยวมาพักผ่อน เพื่อรอปีนขึ้นไปถึงสถานีชั้น 10 ดูพระอาทิตย์ขึ้น จากจุดนี้ ป้ายบอกว่า ใช้เวลา 3 ชั่วโมงถึงยอดเขา ที่นี่ เราสามารถมองเห็นวิวของภูเขาและทะเลสาบไกลๆเป็นสีฟ้าแบบพาสเทลได้อย่างสวยงาม

ที่พักมีอาหารให้เรา 2 มื้อพร้อมกัน คือตอน 6 โมงเย็นและตอนเช้าสำหรับวันรุ่งขึ้น เราวางแผนว่าจะเริ่มออกเดินทางตอนตีหนึ่ง เพื่อจะให้ทันพระอาทิตย์ขึ้นตอนตี 3.30 หรือตี 4 แต่เนื่องจาก เราทุกคนและนักปีนเขาอื่นๆ นอนไม่หลับกัน เราจึงตัดสินใจออกจากที่พักเวลา 5 ทุ่ม เพื่อจะได้มีเวลาในการปีนป่ายมากขึ้น

ข้างนอกเย็นมาก เหมือนความเย็นทิ่มเข้าไปในกระดูก พร้อมกับลมค่อนข้างแรงด้วย ที่น่าแปลกใจ คือ ไม่ใช่เราแค่นั้นที่เดินท่ามกลางความมืดมิดแต่มีแสงเป็นจุดๆ จากไฟฉายคาดหัวของนักปีนเขาทั้งคนญี่ปุ่นและชาวต่างชาติ บางกลุ่มก็มากับทัวร์

การเดินไปสถานีชั้น 9 กับความชันเกือบ 45 องศา ก็เริ่มยากขึ้น อากาศเริ่มน้อยลง และเหนื่อยง่ายขึ้น สมาชิกในกลุ่มคนหนึ่งถึงกับต้องซื้ออากาศกระป๋องช่วยหายใจ ลมแรงทำให้หนาวเย็นมากขึ้น ระหว่างทางจากสถานีที่ 9 ไปสถานีที่ 10 ก็จะมีเจ้าหน้าที่มาคอยดูแล และก็เอาใจช่วย ด้วยการตะโกนบอกว่า อีก 30 นาทีก็จะถึงแล้ว แต่ก็เล่นเอาเหนื่อยน่าดู เนื่องจากบางจุดเป็นหินก้อนใหญ่ที่ต้องปีน

ในที่สุด เรามาถึงก่อนพระอาทิตย์ขึ้น แต่ก็เล่นเอาหนาวเหมือนกันลมมาตลอด MRBADBOY ขอถ่ายรูปกับแท่งเสาก่อน ที่อยู่ใกล้กับศาลเจ้าฟูจิซันฮงงูเซ็นเก็งไทชะ (Fujisan Hongu Sengen Taisha) ที่เชื่อกันว่าเพื่อระงับการปะทุของภูเขาไฟ

ไม่ไหวแล้ว MRBADBOY ขอหลบไปซดน้ำร้อนๆ จากบะหมี่ถ้วยสำเร็จรูป เพื่อทำให้ร่างกายอุ่นๆ หน่อย ก่อนที่จะไปเผชิญความหนาวเย็นพร้อมกับดูความสวยงามของพระอาทิตย์สีแดงที่กำลังโผล่ขึ้นมาทอแสง พร้อมๆ กับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ

หลังจากนั้น เราได้เดินไปที่ปากปล่องภูเขาไฟไดโนอิน

เส้นทางเดินลง คนละเส้นทางที่เราขึ้นมา บางจุดดูเหมือนกำลังเดินอยู่เหนือก้อนเมฆ และ MRBADBOY ได้เห็นน้ำแข็งที่ยังละลายไม่หมด ค้างอยู่ใต้ก้อนหินเหมือนหินย้อย

การเดินลงยากมาก เนื่องจากเส้นทางส่วนใหญ่เป็นหินกรวดจากภูเขาไฟ ทำให้เราอาจจะลื่นล้มได้ เลยต้องเดินเกร็งขาตลอด เล่นเอาเมื่อยทีเดียว

แต่ละทางแยก จะมีป้ายบอกทางตลอด ดังนั้นต้องจำให้ได้ว่า เรามาเส้นทางไหนและป้ายสีอะไร มีทางแยกหนึ่ง ที่อาจจะทำให้หลงทางได้ ถ้าไม่ได้อ่านป้าย เพราะว่า ทางของเราคือต้องเดินอ้อมหลังบ้านหลังหนึ่ง ขณะที่เส้นทางที่ทำให้หลงได้คือ Subashiri Trail ป้ายสีแดง เป็นถนนเส้นใหญ่กว่า ไปลงที่สถานีที่ 5 เหมือนกันแต่คนละที่ของภูเขา

เราลงมาถึงจุดเชื่อมข้างล่างเดียวกันของสถานีชั้น 6 และมาถึงสถานีชั้น 5 ในเวลา 9 หรือ 10 โมงเช้า แล้วนั่ง Retro Bus กลับไปที่สถานีคาวะกูจิโกะ อาบน้ำแต่งตัวและเช็คเอาท์ ก่อนมุ่งหน้ากลับไปที่โตเกียว (Tokyo)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *