“ครั้งหนึ่งในชีวิต กับภารกิจ พิชิตยอดเขาฟูจิ” ได้เกิดขึ้นเกือบสามปีมาแล้วของ MRBADBOY ที่ใฝ่ฝันอยากจะลองปีนภูเขาไฟจิสักครั้งหนึ่งในชีวิต และอยากจะท้าทายความสามารถของคนในวัยเกินครึ่งเซ็นจูรี่ของเราเองด้วย
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/20170708_144009-3-1024x576.jpg)
MRBADBOY ใช้เวลาทำใจสักพัก พร้อมกับอ่านเรื่องราวจากประสบการณ์ของนักปีนเขา ทั้งคนญี่ปุ่นและคนต่างชาติ และเก็บข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆ ตั้งแต่ พื้นที่ของภูเขา เส้นทางการปีนเขา ภูมิอากาศบนเขา และการเตรียมความพร้อมก่อนปีนเขา รวมถึงอุปกรณ์ปีนเขา เช่น ไม้เท้าเดินป่า ไฟฉายคาดหัว เสื้อผ้ากันหนาวกันลม รองเท้าเทรล แว่นกันแดด และ ที่พักบนเขา
เมื่อความต้องการบวกกับเสียงเรียกร้องจากหัวใจได้แรงมากขึ้นและรวมกันเป็นหนึ่งแล้ว MRBADBOY จึงได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า เราจะไปพิชิตภูเขาไฟฟูจิ ในเดือนกรกฎาคม ปี 2560 และชักชวนเพื่อนอีก 4 คนที่พร้อมจะไปร่วมทำมิชชั่นนี้ด้วยกัน
ภูเขาไฟฟูจิ (Mount Fuji) หรือที่เรียกกับแบบน่ารักๆ สไตล์ญี่ปุ่น ฟูจิซัง (Fujisan) เป็นสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นและได้รับเลือกจากองค์กรยูเนสโก (UNESCO) ให้เป็น สถานที่ท่องเที่ยวมรดกโลกด้านวัฒนธรรม ในปี 2556 (World Cultural Heritage Site in 2013)
อรรถรสแห่งความงามและมนต์เสน่ห์ของภูเขาไฟฟูจิ สามารถดึงดูดทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเที่ยวและปีนเขาทุกๆ ปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน เพียง 2 เดือนเท่านั้น คือ กรกฎาคมและสิงหาคม ฟูจิซัง เป็นภูเขาที่สูงที่สุดของประเทศญี่ปุ่น มีความสูง 3,776 เมตร เหนือจากระดับน้ำทะเล
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/20170708_144027-2-1024x576.jpg)
การเริ่มต้นของมิชชั่นนี้ คือเช้าตรู่ของวันที่ 8 กรกฎาคม 2560 หลังจากที่เราได้บินถึงประเทศญี่ปุ่นเมื่อวานนี้และได้พักที่อุเอโนะ (Ueno) หนึ่งคืน เราได้เลือกเดินทางไปคาวากูจิโกะ (Kawaguchiko) โดยรถไฟจากสถานีชินจูกุ (Shinjuku) เพราะว่าเรามีตั๋วรถไฟ Japan Rail Pass สำหรับ 7 วันที่เราซื้อที่เมืองไทยและนำ voucher มาแลกเป็นตั๋วที่สนามบินนาริตะ (Narita International Airport)
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/20170708_145148-1024x576.jpg)
จากสถานีชินจูกุ เราเดินทางโดยรถไฟสาย Azusa ไปยังสถานีโอซึกิ (Otsuki) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้น เราเปลี่ยนไปนั่งรถไฟสาย Fujikyu Railway ไปลงที่สถานีคาวากูจิโกะ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ค่าโดยสารคือ 1,140 เยน ไม่สามารถใช้ JR Pass ได้
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/20170708_145012-1-1024x576.jpg)
เราตื่นเต้นกับรถไฟสาย Fujikyu Railway ซึ่งได้เพ้นท์ลวดลายของภูเขาฟูจิทั้งขบวน ดูน่ารัก ทำให้เราต้องรีบกดชัตเตอร์ก่อนที่รถไฟจะเคลื่อนตัวออกจากชานชาลา แต่เมื่อรถไฟมาถึงสถานี Fujikyu Highland อีกสถานีเดียวก็จะถึงที่หมายของเราแล้ว ปรากฎว่ารถไฟหันหัวกลับ ทำให้นักท่องเที่ยวบางคนถึงกับทำหน้างงๆ
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/20170708_161347-1-1024x576.jpg)
จากสถานีคาวากูชิโกะ เราเดินลากกระเป๋าของเราไปยังที่พัก K’s House Mt. Fuji ที่ MRBADBOY ได้จองผ่าน www.agoda.com ในบางเว็บบอกว่าเป็นที่พักสุดฮิตของนักท่องเที่ยวชาวไทย ที่นี่เป็นแบบ backpackers hostel แต่ดูดีทีเดียว สะอาด มีห้องครัว ห้องรับประทานอาหาร ห้องนั่งเล่น มีกาแฟให้ตอนเช้า และมีไวไฟฟรีอีกด้วย MRBADBOY ได้จองแบบห้องรวมชายหญิงสำหรับ 6 คนห้องน้ำรวม ตอนแรกจะจองที่พักคล้ายๆ กันตรงข้ามสถานีแต่ไม่ทัน
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/20170708_183624-1024x576.jpg)
ช่วงบ่ายแก่ๆ ของวันนั้น เราได้ออกไปเดินเที่ยวแถวๆ ทะเลสาบคาวากูชิโกะ และมองเห็นความสวยงามของภูเขาฟูจิสีฟ้าๆ แบบพาสเทลไกลๆ ประหนึ่งว่ากำลังรอคอยให้เราไปพิชิตมันโดยเร็ว
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/20170708_191102-1024x576.jpg)
เส้นทางปีนภูเขาไฟฟูจิ คือ โยะชิดะเทรล (Yoshida Trail) ซึ่งได้รับความนิยมมากที่สุดจากนักปีนเขา เดินทางไปมาสะดวก และมีที่พักเปิดให้บริการมากมาย ที่สำคัญมากที่สุดคือ ดีสำหรับมือใหม่อย่างพวกเราด้วย อีกสามเส้นทางอื่นๆ คือ เส้นทางฟูจิโนะมิยะ (Fujinomiya), เส้นทางโกเท็นบะ (Gotemba) และเส้นทาจิบะชิริ (Chibashiri)
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/20170709_070253-1024x576.jpg)
การทำภารกิจของเรากำลังจะเริ่มขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้นของวันที่ 9 กรกฎาคม 2560 เมื่อเราเดินออกจากที่พักและไปขึ้นรถ Retro Bus ที่หน้าสถานีคาวะกูจิโกะ เพื่อจะไปส่งที่จุดเริ่มต้นของการปีนเขาที่ สถานี Mt. Fuji 5th ค่าโดยสารต่อเที่ยวคือ 1,500 เยน จะซื้อต่อเที่ยวหรือไปกลับก็ได้
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/P7090004-1024x768.jpg)
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/20170709_095723-1024x576.jpg)
ประมาณหนึ่งชั่วโมง เราก็มาถึงชั้นห้า ในขณะที่เส้นทางปีนเขามีทั้งหมด 10 ชั้น เราได้สัมผัสกับอากาศเย็นสบายและสายหมอก ที่นี่ดูคึกคักดีด้วยทั้งคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่นี่มีความสูง 2,305 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/20170709_095231-1-1024x576.jpg)
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/P7090006-1024x768.jpg)
ชั้นห้านี้ มีที่พักด้วย คือ Gogoen Rest House กับจุดชมวิวบน rooftop, Miharashikan และ Fujikyu Unjokaku ซึ่งทั้งหมดจะมีโซนอาหารและโซนขายของที่ระลึกด้วย โดยเฉพาะทางเข้าของ Gogoen Rest House มีขายข้าวโพดหวานนึ่งราคา 500 เยนและ soft cream หลายรสชาติราคา 350-400 เยน
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/20170709_094417-576x1024.jpg)
มีศาลเจ้าโคมิตาเคะ (Komitake Jinja) กับซุ้มประตูเสาโทริอิสีแดง (Torii) ที่อยู่ระหว่างที่พัก Miharashikan และร้านช้อปปิ้ง Komitake Baiten
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/20170709_094404-576x1024.jpg)
ศาลเจ้านี้ เป็นที่สักการะบูชาและอธิฐานขอพร โดยมีความเชื่อว่า ท่านเทนกุ หรือปีศาจจมูกแดง ได้ปกครองพื้นที่บริเวณโดยรอบของฟูจิซังชั้น 5 นี้ ถูกเรียกว่า “Tengu no Niwa” (“สวนของท่านเทนกุ”)
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/stick-1024x1024.jpg)
นั่นคือว่า ทำไมภูเขาไฟฟูจิจึงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่คนเคารพบูชาและนิยมมาซื้อเครื่องรางกลับไปเป็นของที่ระลึก รวมถึงไม้เท้า หรือไม้ค้ำ แบบสั้นและยาว ในราคา 1,100-1,200 เยน และมีกิมมิคด้วย คือการตอกลวดลายหรือข้อความที่เขามีให้เลือกมากมาย ในราคา 200 เยน และยังมีให้ประทับตราอื่นๆ ตลอดระยะทางบนเขาด้วยนะ ในราคาต่างกัน เนื่องจากบนที่สูง
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/20170709_100524-1024x683.jpg)
เราหาอะไรรองท้องก่อน พร้อมทั้งปรับระดับอุณหภูมิร่างกายหนึ่งชั่วโมงก่อนปีนเขา
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/20170709_100711-1-1024x576.jpg)
ที่นี่ มีบริการนั่งม้าด้วย คือ 4,000 เยนสำหรับเที่ยวเดียวที่อิซุมิงะตะเกะ (Izumigataki) หรือ 10,000 เยนสำหรับเที่ยวเดียวที่สถานีชั้น 6 และ 15,000 เยนลงมาที่ชิชิอิวะ (Shishiiwa)
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/20170709_101548-1024x576.jpg)
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/20170709_102727-1-1024x576.jpg)
เวลา 10 โมงเช้า เราเริ่มภารกิจของเราด้วยการเดินเทรลทางดินตามเส้นทางป้ายสีเหลือง Yoshida Trail ขณะที่ MRBADBOY ได้สะพายกระเป๋ากันน้ำขนาดไม่ใหญ่ เพราะว่าเอาไว้ใส่ขวดน้ำดื่ม หมวกไหมพรม ไม้เท้าค้ำพับได้ แปรงและยาสีฟัน เสื้อผ้าไม่ต้องเพราะว่าที่พัก Taishikan บนชั้น 8 ไม่มีที่ให้อาบน้ำ ราคาต่อคืนต่อคนคือ 8,500 เยน แพงทีเดียว
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/P7090017-1024x768.jpg)
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/P7090026-1024x768.jpg)
เส้นทางเทรลดินมีเนินชันให้พอเหนื่อยเล็กน้อย เป็นการวอร์มร่างกายไปในตัว พร้อมกับความเขียวสดชื่นของต้นไม้สองข้างทาง ขณะที่สวนทางกับนักปีนเขาคนอื่นๆ ที่กำลังลงมา
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/20170709_105728-1-1024x576.jpg)
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/P7090029-1024x768.jpg)
หลุดออกมาจากความร่มรื่นของป่าไม้ เราก็เดินเลียบข้างภูเขาแบบโล่งเตียน และก็มาถึงสถานีที่ 6 มีศูนย์ให้คำแนะนำด้านความปลอดภัย จุดนี้ก็เริ่มมีหมอกปกคลุมอบอวลไปทั่ว
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/20170709_125837-1024x576.jpg)
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/P7090042-1-1024x768.jpg)
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/P7090037-2-1024x768.jpg)
เราเดินบนเส้นทางที่เป็นกรวดและก้อนหินสูงชันมากขึ้น ก็มาถึงสถานีที่ 7 ระดับความสูง 2,700 เมตร ที่พักเริ่มจากชั้นนี้ และมีจุดพักสำหรับนักปีนเขา มีห้องน้ำให้บริการในราคา 200 เยน แต่ละจุดมีที่แสตมป์ไม้เท้าค้ำด้วย ในลวดลายแตกต่างกันไป ที่ชั้น 7 ในราคา 300 เยน MRBADBOY ได้มองลงไปข้างล่าง เห็นเส้นทางเดินที่ซิกแซกไปมาดูสวยงามดี พร้อมกับหมอกที่กระจายเป็นแบล็คกราว
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/P7090055-1024x768.jpg)
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/P7090056-1024x768.jpg)
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/P7090058-1024x768.jpg)
จากชั้น 7 ไป เริ่มชันมากขึ้นเป็นและบางจุดต้องใช้มือและไม้เท้าในการช่วยพยุงในการปีนไต่หิน ระหว่างทางเดินและปีนเขา จะมีสายโซ่ที่กั้นเป็นทางไว้ เพื่อไม่ให้นักปีนเขาออกนอกเส้นทาง ซึ่งอาจจะเกิดอันตรายจากหินสไลด์ลงมา
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/20170709_135309-2-1024x576.jpg)
ในที่สุด เราก็มาถึงสถานีที่ 8 ในระดับความสูง 3,360 เมตร เวลาบ่างสองโมง จุดนี้มีนักท่องเที่ยวมาพักผ่อน เพื่อรอปีนขึ้นไปถึงสถานีชั้น 10 ดูพระอาทิตย์ขึ้น จากจุดนี้ ป้ายบอกว่า ใช้เวลา 3 ชั่วโมงถึงยอดเขา ที่นี่ เราสามารถมองเห็นวิวของภูเขาและทะเลสาบไกลๆเป็นสีฟ้าแบบพาสเทลได้อย่างสวยงาม
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/20170709_172843-1-1024x576.jpg)
ที่พักมีอาหารให้เรา 2 มื้อพร้อมกัน คือตอน 6 โมงเย็นและตอนเช้าสำหรับวันรุ่งขึ้น เราวางแผนว่าจะเริ่มออกเดินทางตอนตีหนึ่ง เพื่อจะให้ทันพระอาทิตย์ขึ้นตอนตี 3.30 หรือตี 4 แต่เนื่องจาก เราทุกคนและนักปีนเขาอื่นๆ นอนไม่หลับกัน เราจึงตัดสินใจออกจากที่พักเวลา 5 ทุ่ม เพื่อจะได้มีเวลาในการปีนป่ายมากขึ้น
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/P7090064-1024x768.jpg)
ข้างนอกเย็นมาก เหมือนความเย็นทิ่มเข้าไปในกระดูก พร้อมกับลมค่อนข้างแรงด้วย ที่น่าแปลกใจ คือ ไม่ใช่เราแค่นั้นที่เดินท่ามกลางความมืดมิดแต่มีแสงเป็นจุดๆ จากไฟฉายคาดหัวของนักปีนเขาทั้งคนญี่ปุ่นและชาวต่างชาติ บางกลุ่มก็มากับทัวร์
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/20170710_011921-1024x576.jpg)
การเดินไปสถานีชั้น 9 กับความชันเกือบ 45 องศา ก็เริ่มยากขึ้น อากาศเริ่มน้อยลง และเหนื่อยง่ายขึ้น สมาชิกในกลุ่มคนหนึ่งถึงกับต้องซื้ออากาศกระป๋องช่วยหายใจ ลมแรงทำให้หนาวเย็นมากขึ้น ระหว่างทางจากสถานีที่ 9 ไปสถานีที่ 10 ก็จะมีเจ้าหน้าที่มาคอยดูแล และก็เอาใจช่วย ด้วยการตะโกนบอกว่า อีก 30 นาทีก็จะถึงแล้ว แต่ก็เล่นเอาเหนื่อยน่าดู เนื่องจากบางจุดเป็นหินก้อนใหญ่ที่ต้องปีน
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/P7100067-1024x768.jpg)
ในที่สุด เรามาถึงก่อนพระอาทิตย์ขึ้น แต่ก็เล่นเอาหนาวเหมือนกันลมมาตลอด MRBADBOY ขอถ่ายรูปกับแท่งเสาก่อน ที่อยู่ใกล้กับศาลเจ้าฟูจิซันฮงงูเซ็นเก็งไทชะ (Fujisan Hongu Sengen Taisha) ที่เชื่อกันว่าเพื่อระงับการปะทุของภูเขาไฟ
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/20170710_044403-1024x576.jpg)
ไม่ไหวแล้ว MRBADBOY ขอหลบไปซดน้ำร้อนๆ จากบะหมี่ถ้วยสำเร็จรูป เพื่อทำให้ร่างกายอุ่นๆ หน่อย ก่อนที่จะไปเผชิญความหนาวเย็นพร้อมกับดูความสวยงามของพระอาทิตย์สีแดงที่กำลังโผล่ขึ้นมาทอแสง พร้อมๆ กับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/P7100077-1024x768.jpg)
หลังจากนั้น เราได้เดินไปที่ปากปล่องภูเขาไฟไดโนอิน
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/20170710_054015-1024x576.jpg)
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/P7100084-1024x768.jpg)
เส้นทางเดินลง คนละเส้นทางที่เราขึ้นมา บางจุดดูเหมือนกำลังเดินอยู่เหนือก้อนเมฆ และ MRBADBOY ได้เห็นน้ำแข็งที่ยังละลายไม่หมด ค้างอยู่ใต้ก้อนหินเหมือนหินย้อย
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/P7100087-1024x768.jpg)
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/P7100093-1024x768.jpg)
การเดินลงยากมาก เนื่องจากเส้นทางส่วนใหญ่เป็นหินกรวดจากภูเขาไฟ ทำให้เราอาจจะลื่นล้มได้ เลยต้องเดินเกร็งขาตลอด เล่นเอาเมื่อยทีเดียว
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/P7100091-1024x768.jpg)
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/P7100099-1024x768.jpg)
แต่ละทางแยก จะมีป้ายบอกทางตลอด ดังนั้นต้องจำให้ได้ว่า เรามาเส้นทางไหนและป้ายสีอะไร มีทางแยกหนึ่ง ที่อาจจะทำให้หลงทางได้ ถ้าไม่ได้อ่านป้าย เพราะว่า ทางของเราคือต้องเดินอ้อมหลังบ้านหลังหนึ่ง ขณะที่เส้นทางที่ทำให้หลงได้คือ Subashiri Trail ป้ายสีแดง เป็นถนนเส้นใหญ่กว่า ไปลงที่สถานีที่ 5 เหมือนกันแต่คนละที่ของภูเขา
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/20170710_060933-1024x576.jpg)
![](http://www.mrbadboygo.com/wp-content/uploads/2020/04/20170710_072519-1024x576.jpg)
เราลงมาถึงจุดเชื่อมข้างล่างเดียวกันของสถานีชั้น 6 และมาถึงสถานีชั้น 5 ในเวลา 9 หรือ 10 โมงเช้า แล้วนั่ง Retro Bus กลับไปที่สถานีคาวะกูจิโกะ อาบน้ำแต่งตัวและเช็คเอาท์ ก่อนมุ่งหน้ากลับไปที่โตเกียว (Tokyo)