เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป คาดหวังให้ประเทศไทยเป็น Tollywood ด้วยการขยาย 1,200 โรงหนังในประเทศและต่างประเทศในปี 2030 รวมทั้ง 8 สาขา 40 โรงกับงบลงทุน 600 ล้านบาทภายในปีนี้ และช่องทางการจำหน่ายป๊อปคอร์นในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ปลายเดือนกันยายนนี้ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
ฐิตาภัสร์ อิสราพรพัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงินและบัญชีบริษัท เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เผยว่า “บริษัทฯ ทำรายได้รวม 2,283 ล้านบาท กำไรสุทธิ 532 ล้านบาทเทียบกับไตรมาส 2 ของปี 2565 เติบโตขึ้นมาจากรายได้ธุรกิจโรงภาพยนตร์ 1,178 ล้านบาท ธุรกิจป๊อปคอร์น 654 ล้านบาท ธุรกิจสื่อโฆษณา 244 ล้านบาท ธุรกิจโบว์ลิ่ง 102 ล้านบาท ธุรกิจพื้นที่เช่า 63 ล้านบาท และ Movie Content 42 ล้านบาท สำหรับครึ่งปีแรกของปี 2566 รายได้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งสิ้น 3,873 ล้านบาท กำไรสุทธิรวม 603 ล้านบาท มาจากโรงภาพยนตร์ 1,945 ล้านบาท ป๊อปคอร์น 1,088 ล้านบาท สื่อโฆษณา 435 ล้านบาท โบว์ลิ่ง 198 ล้านบาท พื้นที่เช่า 125 ล้านบาท และ Movie Content 83 ล้านบาท”
ธุรกิจเติบโตเพิ่มขึ้นเพราะประชาชนยังโหยหาการกลับมาดูในโรงหนังที่ให้อรรถรสที่แตกต่างจากที่บ้านหรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ ประกอบกับความน่าสนใจของหนังฮอลลีวู้ด อาทิ Fast and Furious X, John Wick : Chapter 4, Guardians of the Galaxy Vol. 3, Transformers: Rise of the Beasts, Avatar The Way of Water, Ant-Man And The Wasp: Quantumania, The Little Mermaid, Spider-Man: Across the Spider-Verse, Shazam! Fury of the Gods, Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One, Oppenheimer, Barbie,Meg 2: The Trench, Blue Beetle, Gran Turismo, The Nun 2, Dune Part Two, The Marvels และ Aquaman and The Lost Kingdom
นอกจากนี้ หนังไทยเป็นอีกจุดขายสำคัญที่ดึงดูดประชาชนด้วยเหมือนกัน สอดคล้องกับเป้าหมายของเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ที่เน้นการพัฒนาและสนับสนุนการสร้างหนังไทย หวังผลักดันมาร์เก็ตแชร์ของหนังไทยให้ได้ 50% ซึ่งครึ่งปีแรก 3 หนังไทยที่ทำรายได้สูงสุด คือ ขุนพันธ์ 3 รวม 110 ล้านบาท, Long Live Love รวม 90 ล้านบาท ปัจจุบันยังฉายอยู่คาดว่าจะถึง 100 ล้านบาท และ ทิดน้อย รวม 88 ล้านบาท ส่วนครึ่งปีหลังมีอีก 30 เรื่อง รวมทั้ง แมนสรวง, ไปรษณีย์ 4 โลก, 14 Again, นักรบมนตรา, ธี่หยด, Not Friend, อีสานซอมบี้, 4 Kings 2 และ สลิธ โปรเจกต์ล่า
