“อภิสิทธิ์” ยืนยันคนแห่ลาออกเพราะ “ไม่มีความสุข”

หลังจากได้ออกมาช่วยคนในพรรคประชาธิปัตย์หาเสียง สังคมเลยเกิดตั้งคำถามว่าอดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจะมาลงเล่นการเมืองหรือไม่ แถมช่วงนี้ก็ยิ่งมีข่าวลือหนาหูว่า คนในพรรคแห่กันลาออก ขอแยกตัวไปอยู่พรรคอื่น เพราะแพใหญ่ในพรรคกำลังจะแตก ในรายการ “คนดังนั่งเคลียร์” ทุกวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 16.00 น. ทางช่อง 8 กดเลข 27

ท่านหายไปไหนมาคะ?

ไม่ได้หายไปไหนหรอกครับ จริงๆก็ 4 ปีที่แล้ว เมื่อเป็นหัวหน้าพรรค นำพรรคเข้าสู่การเลือกตั้ง ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ เราก็ต้องแสดงความรับผิดชอบลาออกจากหัวหน้าพรรค หลังจากนั้นมาพรรคตัดสินใจไปร่วมรัฐบาล ซึ่งขัดกับสิ่งที่เราเคยพูดกับประชาชนไว้ เราก็ต้องรับผิดชอบ จึงลาออกจาก ส.ส. แล้ว 3-4 ปีที่ผ่านมาก็มีเรื่องโควิดเข้ามาก็เป็นเรื่องธรรมดานะครับ บทบาทไม่ได้มีทางการเมือง แต่ก็ยังไปร่วมบรรยาย สัมมนาทางวิชาการครับ

ท่านห่วงแมว ท่านเปิดฟาร์มแมวเหรอคะ มีกี่ตัว?

ผมไม่ได้เปิดครับ พอดีลูกสาวเขาเป็นทาสแมว ผมก็ต้องเป็นทาสของทาสแมวครับ ก็เลยช่วยดูแลบ้าง แต่จริงๆแล้วเป็นของลูกสาว บังเอิญมันเยอะหน่อย มี 27 ตัวครับ เป็นพันธุ์ scottish fold ที่หูพับ(ยิ้ม)

ท่านจะกลับมาช่วยพรรคประชาธิปัตย์ ของท่านจุรินทร์ใช่ไหมคะ?

 คือได้คุยกันแล้วนะครับ เพราะว่าท่านหัวหน้าพรรคก็มาบอกว่าผมก็เป็นอดีตหัวหน้าพรรค เป็นสมาชิกพรรค ก็อยากจะถามว่า จะลงสมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อไหม เพราะว่าก็มีอดีตหัวหน้าพรรคท่านอื่น ท่านอดีตนายกฯชวน ท่านอดีตหัวหน้าบัญญัติก็ลงสมัคร ก็ได้คุยกัน ผมก็บอกว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ต้องกังวลกับตัวผมหรอก ผมไม่ได้ไปไหน ผมเป็นสมาชิกพรรค มีหน้าที่ก็ต้องสนับสนุนพรรค แต่ก็ต้องพูดกันตรงๆ ว่าแนวคิดอ่านทางการเมืองกับพรรค บางเรื่องมันก็ไม่ค่อยกลมกลืนเสียทีเดียว ถ้าผมไปลงสมัคร ส.ส.เนี่ย เดี๋ยวประชาชนจะสับสน เกี่ยวกับทิศทางของพรรค เพราะว่าทิศทางของพรรค ต้องถูกกำหนดโดยผู้บริหารพรรค ซึ่งมาจากการเลือกตั้งของสมาชิก ผมก็บอกลงตัวที่สุดผมก็ช่วย แต่ไม่จำเป็นต้องลงสมัครรับเลือกตั้ง ก็ตกลงกันอย่างนั้น ที่เขาจะไปสมัครกันก็จะไม่มีชื่อผม แต่ว่าที่ผ่านมาก็ได้มีโอกาสไปช่วยหาเสียงบ้างแล้วนะครับ

ท่านเคยแสดงออกความคิดเห็น 3 ป.ไม่มีทางจะกลับมาร่วมกันได้อีก ลุงตู่จะไปอยู่ตรงไหน?

การกลับมาของพลเอกประยุทธ์ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เนื่องจากว่า เราประเมินจากการสำรวจความนิยมจากโพลต่างๆที่น่าเชื่อถือ เราดูผลจากการเลือกตั้ง พอฟังเสียงต่างๆ ก็ยอมรับว่าเทียบกับ 4 ปีที่แล้ว คะแนนของรัฐบาลไหลไปอยู่กับฝ่ายค้าน ก็พอสมควร ซึ่งถ้าดูจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ตอนที่พลเอกประยุทธ์ได้รับเลือกจากสภา ท่านก็ได้ครึ่งนึงพอดีเลย 250 นั่นคือกับระบบเลือกตั้งเดิมด้วย กระแสแบบเดิมด้วย เพราะฉะนั้นวันนี้เริ่มต้นเนี่ย สิ่งแรกที่เป็นเรื่องยากทำอย่างไรจะรักษาให้เกิน 250 ในซีกรัฐบาล อันที่ 2 สมมติว่าได้ ตอนนี้เขาก็เกร็งกันว่าในหมู่พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเนี่ย พรรคของท่านไม่น่าเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุดอีก ก็จะเกิดคำถามว่าแล้วหัวหน้าพรรคที่เขาใหญ่กว่า เขาจะยอมไหม ส่วนเพื่อไทย พลังประชารัฐ มันเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง เรามองเห็นว่า พลเอกประวิตร ตัดสินใจในการที่จะทำการเมืองโดยอยู่คนละพรรคกับพลเอกประยุทธ์แล้วเนี่ย แล้วก็ดูท่าทีจากการแสดงออกเรื่องอยากจะก้าวข้ามความขัดแย้ง มันก็เห็นได้ชัดว่า พลเอกประวิตร กับพรรคพลังประชารัฐเขากำลังสร้างทางเลือกให้กับตัวเองว่า ไม่ได้ผูกติดกับขั้วเดียวเหมือนเดิมนะ สามารถที่จะทำงานอีกขั้วได้ ประจวบเหมาะกับพรรคเพื่อไทย เขาก็มีโจทย์ของเขาอยู่ โจทย์ของเขาก็คือว่า ถึงแม้จะมั่นใจว่าจะชนะการเลือกตั้งมาอันดับ 1 บางทีอาจจะเกินครึ่งด้วยซ้ำ แต่กติกาบ้านเมืองไปบอกว่าเขาต้องได้ 375 ถึงจะมีนายกได้ มันก็เลยมีข่าวว่าจะเล็งไปที่พลเอกประวิตรหรือเปล่า เพราะพลเอกประวิตรไม่ได้มีแค่ ส.ส. มีคนพูดกันว่าพลเอกประวิตร มีอิทธิพลในการที่จะโน้มน้าว ส.ว.ได้อีกจำนวนหนึ่ง ประกอบกับว่าพรรคเพื่อไทย ในแวดวงพรรคเพื่อไทย หรือคุณทักษิณก็พูดเรื่องการกลับบ้านมาถี่พอสมควร แต่ประเด็นก็คือพอพูดเรื่องการกลับบ้าน มันก็มีการมองต่อไปว่าลำพังการที่พรรคเพื่อไทยมีอำนาจเป็นรัฐบาลเนี่ย มันจะเพียงพอไหม เพราะยุคนึงมันเคยเกิดขึ้นแล้ว สมัยคุณยิ่งลักษณ์ เป็นนายกรัฐมนตรี มีอำนาจแต่พอพยายามจะเอากลับมา ก็เกิดปัญหาขึ้นในบ้านเมือง

ถ้าคุณอุ๊งอิ๊งค์แลนด์สไลด์เข้ามาเนี่ย ก็อย่าให้เป็นแบบวันนั้นอีก?

คือเราก็ไม่อยากให้บ้านเมืองกลับไปสู่จุดนั้นอีก แต่ความคิดก็เลยมีว่า ถ้าอย่างนั้นมันต้องมีการประนีประนอมบางอย่างหรือเปล่า ก็เลยทำให้พูดกันมากกว่า หรือพรรคเพื่อไทยกับพรรคพลังประชารัฐ จะเป็นแนวร่วมกันได้ ซึ่งถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใคร ปฏิเสธแบบเด็ดขาด แม้ว่าเพื่อไทยจะบอกว่าขอเป็นทางเลือกสุดท้าย เราก็ไม่ทราบนะครับว่าสุดท้ายจะเป็นอย่างไร แต่ก็มีคนตั้งข้อสังเกตนะครับว่า พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นฝ่ายค้านร่วมกันมากับพรรคก้าวไกล และพรรคอื่นๆเนี่ย แต่พอบรรยากาศเข้าสู่สนามการเลือกตั้ง เริ่มไม่ได้มีความรู้สึกว่าจะต้องไปเป็นรัฐบาลด้วยกัน

ตอนนี้พรรคประชาธิปัตย์ป่วยหนัก มีแผลฉกรรจ์ เลือดไหลออกจากตัวเยอะแยะไปหมดเลย?

คือเราต้องยอมรับนะครับเรื่องเลือกตั้งทุกครั้ง ก็จะมีปรากฎการณ์ของ ส.ส.ที่ย้ายบ้าน ซึ่งเหตุผลก็แตกต่างกันไป ผมก็มองว่าส่วนหนึ่ง จริงๆก็ไม่เกินความคาดหมายที่เคยบอกกับเพื่อนๆในพรรคเอาไว้ เวลาเราไปร่วมรัฐบาลเนี่ย โดยเฉพาะที่ผ่านมาร่วมรัฐบาลกับพลเอกประยุทธ์ ถึงจุดนึงพอพลเอกประยุทธ์มีพรรคการเมือง หรืออยากจะสร้างฐานการเมืองของตัวเอง ก็คงจะมาดึงคนของเราไป ทีนี้ในพรรคบางคนก็อาจจะมองว่า โอกาสของตัวเองไปอยู่กับพลเอกประยุทธ์น่าจะดีกว่า หรือปกติธรรมดาของคนที่อยู่ร่วมกัน บางคนบอกไม่ค่อยสบายใจที่จะอยู่ที่นี่อะไรต่างๆ เหล่านี้

เขาคิดว่าอยู่ไปก็แพแตก เขาก็เลยไปกันไม่รู้ว่าอันนี้จริงเท็จ?

คือผมไม่ได้ฟังว่ามันเป็นเรื่องของความขัดแย้งอย่างนั้นนะครับ แต่ว่ายอมรับว่ามีสมาชิกหลายคนที่ออกไป จะใช้คำนี้ครับ “ไม่มีความสุข” ที่อยู่ที่เดิม และก็อธิบายเหตุผลอะไรต่างๆ ซึ่งผมก็พอเข้าใจ เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ เราก็เข้าใจในองค์กร ก็เสียดายหลายๆคน เพราะว่าเคยร่วมงานกันมาแล้วก็ ผมก็เคยใช้คำว่าอีกหลายๆคนก็ใช้คำว่า “ใจหาย” กัน เพราะว่าเที่ยวนี้คนที่ออกไปคือ ดูหน้าดูตาแล้วมันเป็นประชาธิปัตย์มาก

ท่านรู้สึกเสียใจและผิดหวังกับผลงานตัวเองไหมคะ?

คือถ้าถามว่าเสียใจตรงไหน ก็ต้องบอกว่าผมมีเพื่อนร่วมงานหลายคน ที่ผมเห็นว่าเขาเป็นผู้แทนที่ดี และวันนั้นเขาไม่ได้ อันนี้เราก็รู้สึกว่าภายใต้การนำของเรา ก็ทำให้เขาเสียโอกาสไป ประชาชนก็เสียโอกาสที่ได้ผู้แทนดีๆไป เสียใจในแง่นั้นมากกว่า แต่ถ้าถามว่าผลการเลือกตั้ง เราต้องเคารพการตัดสินใจของประชาชนนะครับ ผมทำการเมือง ผมเชื่อในการเมืองที่อิงในเรื่องของความคิด อุดมการณ์ จุดยืน คือจุดยืน หรือแนวทางอุดมการณ์ของเรา อาจจะไม่สามารถไปทำให้ประชาชนเขาเห็นคล้อย เขาศรัทธา ก็เป็นธรรมดาว่า เราก็ต้องยอมรับ ผลที่ตามมา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *