“สัตยาพาลี” การแสดงโขนสมัยใหม่กับเทคนิคพิเศษ

“สัตยาพาลี” ตอนหนึ่งใน “รามเกียรติ์” วรรณกรรมเรื่องเอกและยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ถูกนำมาดัดแปลงสู่การแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยนักแสดงเยาวชนรุ่นใหม่มากฝีมือที่ผ่านการคัดเลือกและฝึกซ้อมจากครูผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์ คีตศิลป์ หลากหลายแขนง พร้อมทั้งแสง สี เสียง เทคนิคพิเศษต่างๆ รวมถึงความวิจิตรงดงามของเครื่องแต่งกายที่จัดสร้างด้วยความประณีต ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ระหว่างวันที่ 6 พฤศจิกายน – 8 ธันวาคม 2568 เพื่อสืบสานพระราชปณิธานและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงส่งเสริมและสนับสนุนนาฏศิลป์อันทรงคุณค่าของชาติให้คงอยู่คู่สังคมไทยสืบไป

จับตอนตั้งแต่ทศกัณฐ์แปลงกายเป็นปูยักษ์หมายทำลายพิธีโสกันต์องคตกุมาร แต่พาลีผู้ได้พรจากพระอิศวรปราบได้ ต่อมาเกิดเหตุการณ์ทรพีบุตรทรพาโอหังขาดความกตัญญูจนถูกพาลีฆ่าตายในถ้ำ และทำให้พาลีกับสุครีพน้องชายเข้าใจผิดแตกกัน สุครีพจึงไปพึ่งพระรามและร่วมต่อสู้จนพาลีต้องยอมมรณภาพโดยฝากฝังบ้านเมืองไว้กับพระราม เรื่องราวดำเนินต่อด้วยทศกัณฐ์ให้นางมณโฑหุงน้ำทิพย์ ชุบชีวิตพลยักษ์ แต่พระรามส่งหนุมานและเหล่าวานรไปทำลายพิธีได้สำเร็จ ก่อนที่กองทัพอธรรมจะพ่ายแพ้และทศกัณฐ์ต้องถอยทัพ เป็นการแสดงโขนที่สร้างความประทับใจ ความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ความบันเทิงให้กับผู้ชมครบทุกอรรถรส ได้ข้อคิดเรื่องของการรักษาสัจจะ รวมทั้งด้านคุณธรรม ความกตัญญู ความซื่อสัตย์ รู้รักสามัคคี รู้จักหน้าที่ ที่ต้องพึงปฏิบัติ

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงอุปถัมภ์ศิลปวัฒนธรรมไทยทุกแขนง เมื่อปีพุทธศักราช 2546 หลังจากศิลปะการแสดงเริ่มจะซบเซา เนื่องจากขาดผู้ผลิตและผู้ชม และมีพระราชเสาวนีย์ว่า “ไม่มีใครดูแม่จะดูเอง” นำไปสู่การจัดแสดงโขนหน้าพระที่นั่งตามภูมิภาคต่างๆ ด้วยพระราชทานทุนทรัพย์สนับสนุนการศึกษาพัฒนาเครื่องแต่งกายและการแต่งหน้าโขน ให้เหมาะสมกับแบบแผนโบราณ พร้อมรวบรวมครูผู้เชี่ยวชาญและศิลปินหลายท่าน ศึกษาค้นคว้าศาสตร์และศิลป์ที่เป็นภูมิปัญญาของการจัดแสดงโขน ส่งเสริมนักเรียนและนักศึกษาผู้ใฝ่ใจในการแสดงโขนให้มีความรู้ความสามารถยิ่งขึ้น จึงก่อให้เกิดช่างฝีมือรุ่นใหม่ขึ้นเป็นจำนวนมาก ทั้งช่างทำหัวโขน ช่างทอผ้า ช่างปักสะดึงกรึงไหม ช่างเงิน ช่างทอง ช่างแกะสลัก ช่างเขียน และช่างแต่งหน้าโขน

การจัดการแสดงโขนครั้งแรกด้วยชุด “ศึกอินทรชิต ตอนพรหมาศ” ในปี 2550 ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ได้รับความชื่นชมจากประชาชนเป็นอย่างมาก สร้างความผูกพันอันใกล้ชิดขึ้นในครอบครัวไทย ลูกหลานได้พาปู่ย่าตายายไปชมโขนอย่างเนืองแน่น จนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มีพระราชเสาวนีย์ให้จัดการแสดงโขนต่อเนื่องทุกปี อาทิ ตอนนางลอย ตอนศึกมัยราพณ์ ตอนจองถนน ตอนโมกขศักดิ์ ตอนนาคบาศ ตอนพิเภกสวามิภักดิ์ ตอนสืบมรรคา ตอนสะกดทัพ ตอนกุมภกรรณทดน้ำ และตอนพระจักราวตาร จนได้รับการยกย่องจากองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก (UNESCO) ในปี 2561 ว่าเป็น “มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติ” ซึ่งถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของไทยรายการแรกที่ได้รับการขึ้นทะเบียน เป็นการธำรงนาฏศิลป์อันทรงคุณค่าของชาติให้สืบทอดอยู่อีกนานเท่านาน

บัตรราคา 2,000, 1,800, 1,000, 800 และ 600 บาท รวมทั้ง 200 บาท สำหรับนักเรียน จำหน่ายที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ 0-2262-3456 หรือ www.thaiticketmajor.com

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *