“เลือน–จำ” นิทรรศการศิลปะร่วมสมัยที่สำรวจความสัมพันธ์ของเสรีภาพ ความทรงจำ และศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ ผ่านชีวิตประจำวันของคนสองกลุ่มที่ดำรงอยู่ในโลกคู่ขนาน กลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่นอกเรือนจำ ในชีวิตที่เสรี และอีกกลุ่มที่ดำรงอยู่หลังลูกกรง ท่ามกลางระบบควบคุมของกฎหมายและสังคม ณ ชั้น 1 แมด, มันมัน ศรีนครินทร์ ระหว่างวันที่ 19 มิถุนายน – 10 สิงหาคม 2568

นิทรรศการนำเสนอผ่านกิจวัตรพื้นฐานของมนุษย์ ได้แก่ กิน ขี้ ปี้ นอน การกระทำที่ดูเรียบง่าย ธรรมดา และจำเจ แต่กลับเปี่ยมด้วยนัยยะของอำนาจ การควบคุม และความเป็นอยู่ เมื่อถูกมองผ่านสายตาของทั้งผู้ที่ถูกจองจำ และผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างอิสระ
วัตถุต่าง ๆ เช่น ที่นอน จานชาม ชักโครก หรือพื้นที่แห่งการเสพสังวาส ถูกนำมาเปรียบเทียบเชิงคู่ขนาน โดยไม่เพียงแต่สื่อถึงความแตกต่างทางกายภาพ หากยังชี้ให้เห็นถึงเส้นบาง ๆ ระหว่าง “ความเป็นอยู่” และ “การดำรงอยู่” ระหว่าง “มนุษย์ที่ถูกลงโทษ” และ “มนุษย์ที่มองเห็นผู้อื่นเป็นผู้ถูกลงโทษ”

นิทรรศการนี้ ไม่ต้องการตัดสินว่าใครสมควรถูกลงโทษ หรือใครควรถูกให้อภัย หากแต่มุ่งให้ผู้ชมตระหนักถึง “ความเป็นคน” ที่ยังคงอยู่ แม้ในเงื่อนไขที่กฎหมายพยายามจะลดทอน มันคือการชวนตั้งคำถามต่อระบบแห่งการจองจำ ไม่ใช่เพียงในเชิงกายภาพ แต่รวมถึงในเชิงความคิด ความเชื่อ และทัศนคติที่เรามีต่อผู้ต้องขัง ในขณะเดียวกัน นิทรรศการยังส่องสะท้อนกลับไปยัง “โลกภายนอก” โลกที่แม้จะไม่มีกรงขัง แต่ผู้คนก็ยังคงถูกจองจำด้วยความทรงจำ ความรู้สึกผิด ความอับอาย หรือแม้กระทั่งการเพิกเฉยต่อเรื่องราวของผู้อื่น
ZONE 1: TRANSITIONAL ENTRY

โซนแรกของนิทรรศการคือจุดที่ทุกคนต้อง “เลือกทาง” ก่อนก้าวเข้าสู่โลกคู่ขนานที่กำลังจะเปิดออกตรงหน้า จะเดินเข้าไปในโลกปกติ หรือเลือกเดินสู่เรือนจำ ทางฝั่งเรือนจำคือพื้นที่สำหรับการ “เปลี่ยนผ่าน” อย่างเต็มรูปแบบ มีรองเท้าของผู้ต้องขังวางเรียงเป็นแถวอยู่บนพื้น พื้นที่สำหรับเปลี่ยนชุด และป้ายเขียนว่า “เรือนจำบางสีฅอน” ชัดเจนราวกับเป็นประตูที่พาเราไปยังอีกโลกหนึ่งโดยสมบูรณ์ เมื่อตัดสินใจเดินขึ้นบันได ก็จะพบกับทางเข้าสู่เรือนจำที่รออยู่
ในขณะเดียวกัน ทางเลือกอีกฝั่ง คือโลกของชีวิตปกติ เมื่อเดินผ่านประตูเข้ามา จะพบกับห้องนั่งเล่นเรียบง่ายที่คุ้นตา บรรยากาศผ่อนคลาย และเมื่อเดินขึ้นไปด้านบน จะพบกับซุ้มโค้งซึ่งทำหน้าที่เหมือน “ประตูบ้าน” ที่เชื้อเชิญให้กลับสู่ความคุ้นเคย โซนนี้ไม่ได้แค่แบ่งทางเดินสองฝั่ง แต่ชี้ให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นของการแยกออกจากกันระหว่าง “ชีวิตที่เสรี” กับ “ชีวิตที่ถูกควบคุม” และเปิดโอกาสให้เราได้ตั้งคำถามว่า สิ่งใดที่ทำให้โลกสองใบนี้ต่างกันจริง ๆ
ZONE 2: BEDROOM

เมื่อที่นอนไม่ใช่ที่พักใจ ในโลกปกติห้องนอนคือพื้นที่ส่วนตัวที่เต็มไปด้วยความคุ้นเคย เตียงนอนที่ใช้พักผ่อนจากความเหนื่อยล้า เป็นที่ที่เราเอนกายหลังวันอันยาวนาน ที่ที่ร่างกายและหัวใจได้ฟื้นตัวจากชีวิตนอกบ้าน มันอาจเป็นพื้นที่ของความรัก ความใกล้ชิด หรือแม้แต่ความปลอดภัย
แต่ในโลกอีกใบ เตียงไม่มีอยู่จริง สิ่งที่แทนที่คือเบาะบาง ๆ วางเรียงชิดกันแบบแนวตะแคง ภายในโซน BEDROOM ของฝั่งเรือนจำ เบาะเหล่านี้ถูกจัดเรียงในรูปแบบที่บีบคั้น พร้อมเว้นช่องไฟไว้เป็นจังหวะเพื่อดึงสายตาให้สะดุดกับภาพรวมที่ไม่ปกติ ถุงยางที่วางอยู่บนเบาะ ไม่ได้สื่อถึงความรัก แต่สะท้อนอีกด้านของเรื่องเพศในเรือนจำ ที่ไม่ได้เกิดจากความเต็มใจเสมอไป BEDROOM จึงเป็นโซนที่ชวนตั้งคำถามว่า “พื้นที่สำหรับพักพิง” ของใครหลายคน อาจกลายเป็น “พื้นที่ที่ไม่มีทางเลือก” ของใครอีกคน
ZONE 3: DINING ROOM

โซน DINING ROOM สะท้อนให้เห็นถึงความต่างอย่างสุดขั้วของประสบการณ์ใน “การกิน” ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจวัตรพื้นฐานของมนุษย์ แต่กลับเต็มไปด้วยนัยยะที่ซ่อนอยู่ในรายละเอียดของพื้นที่ ฝั่งเรือนจำ ถูกออกแบบเป็นโต๊ะยาวที่จัดวางถาดหลุมและขันสแตนเลสแบบที่พบได้ทั่วไปในระบบราชทัณฑ์ วางซ้อนและเกยกันในระดับสูงต่ำ เพื่อสร้างจังหวะที่แปลกตา บนผนังเรียงรายไปด้วยพัดลมติดผนังที่เหมือนจะเป็นระเบียบ ทว่าเมื่อสังเกตดี ๆ จะเห็นว่ามีพัดลมสองตัวที่ชนกัน ราวกับบ่งบอกถึงความแออัด เบียดเสียด และไม่มีพื้นที่ของตัวเองอย่างแท้จริง
ในขณะเดียวกัน โลกอีกใบกลับเป็นภาพของร้านคาเฟ่ทันสมัย มีความอบอุ่น ชวนถ่ายรูป ถ้วยกาแฟสวย ๆ จัดวางอย่างตั้งใจ แต่หากมองจากฝั่งคาเฟ่กลับไปยังเรือนจำ จะพบว่ามีเพียงถาดหลุมและขันที่ลอยอยู่หลังลูกกรง สิ่งของที่สะท้อนการควบคุมของระบบ มากกว่าจะสะท้อนตัวตนของผู้ที่ใช้มัน DINING ROOM จึงไม่ใช่แค่พื้นที่กินข้าว แต่มันคือภาพสะท้อนความเหลื่อมล้ำของ “การมีสิทธิ์เลือก” ในสิ่งเล็กที่สุดในชีวิตอย่างการกินอาหาร และบรรยากาศที่รายล้อมขณะทำมัน
ZONE 4: BATHROOM

โซน BATHROOM เปิดเผยอีกแง่มุมของกิจวัตรธรรมดาอย่าง “การขับถ่าย” และ “การอาบน้ำ” ที่แม้จะเป็นกิจกรรมส่วนตัว แต่เมื่ออยู่ภายใต้บริบทของเรือนจำ กลับกลายเป็นพื้นที่ที่เปลือยเปล่าทั้งกายและใจมากที่สุด
ส่วนอีกด้าน คือโลกภายนอกที่ดู “ปกติ” มีห้องอาบน้ำพร้อมฉากกั้นกระจกสะอาดเรียบร้อย อ่างอาบน้ำถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ขัน 10 ใบวางเรียงอยู่รอบขอบอ่าง ฝั่งหนึ่งเป็นสบู่ธรรมดาที่พร้อมให้ใช้ ฝั่งหนึ่งคือ “ขอบเขต” ที่แบ่งกั้นด้วยความต่างของสถานะ ความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัย สิ่งที่ไม่อาจหาได้ในเรือนจำ
ZONE 5: FANTASY

ในโลกที่ทุกการเคลื่อนไหวถูกจับตา ความเป็นส่วนตัวแทบไม่หลงเหลือ พื้นที่เล็ก ๆ หลังราวตากผ้า กลับกลายเป็นที่หลบซ่อนของความรู้สึกที่ไม่อาจพูดได้ตรง ๆ ไม่ใช่แค่พื้นที่แห้งผ้า แต่เป็นที่ซึ่ง “ความปรารถนา” ได้แทรกตัวอยู่ในเงามืดของระบบควบคุม โซน FANTASY บอกเล่าเรื่องจริงที่มักถูกซุกซ่อนไว้จากสายตาสาธารณะ พื้นที่หลังราวตากผ้าในเรือนจำ ที่กลายเป็นจุดลับสำหรับการแสดงออกทางเพศของผู้ต้องขัง ไม่ใช่เพียงแค่การตอบสนองสัญชาตญาณ หากยังสะท้อนถึงความเหงา ความผูกพัน และความต้องการ “สัมผัส” ที่หลงเหลืออยู่ในสถานที่ซึ่งแยกทุกคนออกจากโลกภายนอก
การออกแบบพื้นที่นี้จึงไม่ได้มุ่งเน้นการตัดสิน หากแต่เปิดพื้นที่ให้ผู้ชมตั้งคำถามกับความต้องการที่ทุกคนมีอยู่ในตัว และเสรีภาพในการแสดงออกนั้น จะเปลี่ยนแปลงไปเพียงใดเมื่ออยู่ภายใต้กรอบของการจองจำ ในอีกฟากของโลก “เสรี” เรื่องเพศอาจเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งในชีวิตประจำวัน แต่ในโลกหลังลูกกรง มันคือจินตนาการ ที่มีค่าเท่ากับอิสรภาพชั่วคราวในพื้นที่เล็กจิ๋วหลังราวผ้า
ZONE 6: SINGLE CELL

โซนนี้จำลองบรรยากาศของห้องขังเดี่ยว ที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมพฤติกรรมและให้ผู้ต้องขังทบทวนการกระทำของตนเอง ผ่านโครงสร้างที่ค่อย ๆ เปลี่ยนกลายเป็นลูกกรง พร้อมเสียงก้องและแสงไฟสีแดงที่ส่องลงมา สร้างความรู้สึกอึดอัด กดดัน เหนือศีรษะมีราวตากผ้าและรั้วลวดหนามสื่อถึงความเป็นเรือนจำที่คอยกดทับและจำกัดอิสระของผู้ต้องขัง ในขณะเดียวกัน ผู้เข้าชมสามารถมีส่วนร่วมกับพื้นที่นี้ด้วยการเขียนข้อความลงบนผนัง และลบมันออกได้ด้วยยางลบที่เตรียมไว้ เป็นสัญลักษณ์ของการทบทวนและเปลี่ยนแปลง
โซนนี้ไม่เพียงแค่แสดงภาพความโดดเดี่ยวและความกดดันในเรือนจำ แต่ยังเปิดโอกาสให้เราได้ตั้งคำถามถึงการให้อภัย การเปลี่ยนแปลง และเสรีภาพของจิตใจที่อาจเกิดขึ้นแม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด
ZONE 7: REST OF THE WORLD

โซนสุดท้ายของนิทรรศการจำลองพื้นที่เป็นร้านสะดวกซื้อ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโลกภายนอกที่เราคุ้นเคย เหตุผลที่เลือกร้านสะดวกซื้อเพราะมันเป็นพื้นที่สาธารณะที่แทบทุกคนเข้าถึงได้ และสะท้อนชีวิตประจำวันที่ดูเป็นอิสระและเต็มไปด้วยตัวเลือก แต่ในโซนนี้ ยังมีการนำสิ่งของจากเรือนจำมาจัดวางในแต่ละชั้นของร้าน เพื่อสะท้อนภาพของโลกคู่ขนานที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง ระหว่างชีวิตที่เสรีและชีวิตที่ถูกจำกัดอย่างเข้มงวด สิ่งของเหล่านี้ช่วยเล่าเรื่องความเป็นจริงที่ถูกกักขังไว้เบื้องหลังผนังที่มองไม่เห็น
โซนนี้จึงเป็นบทสรุปที่เชิญชวนให้ผู้ชมตั้งคำถามกับความแตกต่างระหว่าง “โลกของเรา” กับ “โลกของเขา” และช่วยให้เห็นว่าแม้จะอยู่ในสถานที่เดียวกัน แต่ประสบการณ์และเสรีภาพนั้นกลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง